Index to botanical names
สะแกนา
Combretaceae
ไม้เถาเนื้อแข็ง ไม้พุ่ม หรือไม้ต้น ส่วนมากมีขนสั้นนุ่ม ขนต่อม หรือเกล็ดตามกิ่งอ่อน แผ่นใบ ดอก และผล ใบเรียงตรงข้าม ก้านใบบางครั้งติดทนดูคล้ายหนาม ช่อดอกแบบช่อเชิงลด ช่อกระจะ หรือช่อแยกแขนง ดอกจำนวนมาก ใบประดับขนาดเล็ก กลีบเลี้ยงและกลีบดอกจำนวนอย่างละ 4–5 กลีบ กลีบเลี้ยงรูปถ้วยแนบติดรังไข่ ไม่ติดทน กลีบดอกส่วนมากขนาดเล็ก เกสรเพศผู้มีจำนวน 2 เท่า ของกลีบเลี้ยง ยื่นพ้นปากหลอดกลีบเลี้ยง รังไข่ใต้วงกลีบ มีช่องเดียว ออวุล 2–4 เม็ด ก้านเกสรเพศเมียแยกกัน ผลคล้ายเป็นผลเทียม (pseudocarp) ผนังชั้นในแข็งมี 4–5 เหลี่ยม หรือ 4–5 ปีกสกุล Combretum มีประมาณ 250 ชนิด พบในอเมริกาเขตร้อน แอฟริกา มาดากัสการ์ และเอเชียเขตร้อน ในไทยมีประมาณ 20 ชนิด และเป็นไม้ประดับ 2–3 ชนิด เช่น พู่อมร C. constrictum (Benth.) M.A.Lawson มีถิ่นกำเนิดในแอฟริกา และพู่อมรช่อส้ม C. fruticosum (Loefl.) Stuntz มีถิ่นกำเนิดในอเมริกาใต้ ชื่อสกุลเป็นภาษาละตินที่ใช้เรียกพืชที่เป็นสมุนไพรหลายชนิด
พู่อมร: ดอกสีแดง (ภาพ: ราชันย์ ภู่มา); พู่อมรช่อส้ม: (ภาพล่าง) ดอกสีแดงอมส้ม (ภาพ: สุคนธ์ทิพย์ ศิริมงคล)
ไม้ต้น สูงได้ถึง 12 ม. ลำต้นมักมีกิ่งที่ลดรูปเป็นหนาม เปลือกเรียบ กิ่งอ่อนเป็นเหลี่ยม 4 เหลี่ยม ส่วนต่าง ๆ มีเกล็ดปกคลุมหนาแน่น ใบรูปไข่กลับหรือแกมรูปขอบขนาน ยาว 8–18 ซม. ปลายแหลมยาว โคนเรียวสอบ ก้านใบยาว 4–6 มม. ช่อดอกแบบช่อเชิงลด ออกตามซอกใบ ยาว 3–6 ซม. มักแยกแขนง ใบประดับรูปเส้นด้าย ยาวประมาณ 1 มม. ก้านดอกยาวประมาณ 1 มม. กลีบเลี้ยงรูปถ้วยกว้าง กว้าง 2–2.5 มม. ยาวประมาณ 1.2 มม. เป็นเหลี่ยม มี 4 กลีบ รูปสามเหลี่ยมขนาดเล็ก กลีบดอกสีครีม รูปไข่กลับ ยาว 0.8–1.2 มม. ปลายแหลม เกสรเพศผู้ 4 อัน ยาว 3–4 มม. จานฐานดอกเป็นวง มีขนหนาแน่น ผลมี 4 ปีก รูปรีกว้าง ยาวประมาณ 2 ซม. ปีกกว้าง 3–4 มม.พบที่พม่าและภูมิภาคอินโดจีน ในไทยพบทุกภาค ขึ้นตามที่โล่ง ข้างถนน หรือเขาหินปูนเตี้ย ๆ ความสูงถึงประมาณ 250 เมตร
ชื่ออื่น แก (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ); ขอนแข้, จองแข้ (แพร่); ซังแก (เขมร-ปราจีนบุรี); แพ่ง (ภาคเหนือ); สะแก, สะแกนา (ภาคกลาง)
สะแกนา: ลำต้นมักมีกิ่งที่ลดรูปเป็นหนาม ช่อดอกแบบช่อเชิงลด จานฐานดอกเป็นวง มีขนหนาแน่น ผลมี 4 ปีก (ภาพ: ปรีชา การะเกตุ)
Nanakorn, W. (1986). The genus Combretum (Combretaceae) in Thailand. Thai Forest Bulletin (Botany) 16: 154–204.