กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช  กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 









 

 

 

สะเดาเทียม

 

ชื่อวิทยาศาสตร์  Azadirachta excelsa (Jack) Jacobs.

ชื่อวงศ์  Miliaceae

ชื่อสามัญ   สะเดาเทียม

ชื่อทางการค้า   -

ชื่อพื้นเมือง  เทียม, สะเดาช้าง (ตรัง)

     เป็นไม้ยืนต้น ไม้ผลัดใบขนาดใหญ่ สูงถึง 30-40 ม. โตเร็ว ลำต้นเปลาตรง เปลือกไม้เรียบ เมื่ออายุยังน้อย เมื่ออายุมากขึ้นเปลือกจะแตกล่อนเป็นแผ่น โคนต้นเป็นพุพอน เนื้อไม้สีน้ำตาลแดง   

                        รูปทรง (เรือนยอด)  เป็นพุ่มค่อนข้างโปร่ง มีกิ่งก้านน้อย 

                        ใบ   เป็นรูปช่อแบบขนนก ก้านใบยาว 20-60 ซม. ขึ้นรวมกันเป็นกระจุกที่ปลายกิ่ง ขอบใบหยักเป็นฟันเลื่อย ใบหนา เกลี้ยงและมีสีเขียวเป็นมัน ตามกิ่งจะเห็นเป็นรอยแผลที่เกิดจากการหลุดของก้านใบ

                        ดอก  ออกเป็นช่อจามง่ามใบ ก้านดอกยาวประมาณ 1 มม. มีขนสั้นละเอียดปกคลุม กลีบดอก 5 กลีบ

                                       สี  สีขาวอมเขียวอ่อน

                                       กลิ่น  กลิ่นหอม

                                       ออกดอก  -

                        ผล  รูปไข่ เมื่ออ่อนมีสีเขียว ขนาด 2.4-3.2x1.3-1.6 ซม. เปลือกผลหนามีเนื้อนุ่มภายในกลีบดูจะมียางสีขาวไหลออกมา

                                       ผลแก่  สีเหลือง ไม่แตก ผลแก่ในช่วงเดือน พฤษภาคม ถึง

มิถุนายน

   -

 

  การขยายพันธุ์และการผลิตกล้า   จะขยายพันธุ์ได้ง่ายโดยใช้้เมล็ด ผลสุกที่เก็บมาต้องเอาเนื้อหุ้มเมล็ดออกโดยการแช่น้ำแล้วขยำแล้วนำเมล็ดมาผึ่งลม เมล็ดที่ได้มาควรรีบเพาะเนื่องจากอัตราการงอกจะลดลงภายใน 2-3 สัปดาห์ การเพาะเมล็ดอาจทำโดยการหว่านเมล็ดลงในแปลงเพาะเมื่อเมล็ดงอกแล้ว ย้ายลงถุงหลังการเพาะประมาณ 7 วัน

  ปัจจัยสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการปลูก   -

                        ดิน  ดินร่วนปนทราย ซึ่งมีการระบายของน้ำและอากาศดี

                        ความชื้น  ปริมาณน้ำฝน 1,600-2,000 มม. หรือถ้าปริมาณน้ำฝนน้อยก็ไม่ต่ำกว่า 600-1,400 มม.

                        แสง   -

  การปลูกดูแลบำรุงรักษา    -

                       การคัดเลือกพื้นที่และเตรียมพื้นที่ปลูก        สะเดาเทียมสามารถเจริญเติบโตได้ทั้งในพื้นที่ราบและที่ลาดเชิงเขาที่มีดินร่วนปนทรายมีการระบายน้ำดี และเป็นพันธุ์ไม้ที่กระจายพันธุ์เฉพาะในพื้นที่ทางภาคใต้ดังนั้นภาคใต้จึงเหมาะสมกว่าภาคอื่น พื้นที่ที่เป็นที่ราบควรไดพรวนและยกร่องก่ิอนปลูก

                        วิธีการปลูกและระยะปลูกที่เหมาะสม    ทางภาคใต้นิยมปลูกประมาณเดือนพฤษภาคมถึงธันวาคม นิยมปลูก 2 แบบ คือ 1.ขุดหลุมปลูก ขนาดหลุมประมาณ 30x30x30 ซม. วิธีนี้นิยมใช้กับกล้าถุง 2.ใช้ไม้เสี้ยมปลายแหลมนำร่องปลูก โดยนำร่องลึกพอเหมาะกับระดับคอรากของกล้าไม้ วิธีนี้เหมาะกับกล้าเปลือยรากหรือกล้าที่ดอนมาปลูกจะปลูกระยะ 2x2, 2x4 และ 4x4 ม. 

  โรคและแมลง   แมลงที่ทำลายได้แก่ ตัวแมลงกินูน จะกันกินทั้งใบอ่อน และใบแก่ หนอนคืบกินใบสะเดาเทียม จะกินจนใบต้นไม้โกร๋นทั้งแปลง

  อัตราการเจริญเติบโต   มีอัตราการเจริญเติบโตเฉลี่ยปีละประมาณ 8-10 ซม. โดยเฉพาะในช่วง 10 ปีแรก ค่อนข้างจะโตเร็วมาก

 

                       การเก็บรักษา   -

                       การแปรรูป  -

                       การตลาด  -

                       การบริโภค  -

                       การนำเข้า -

                       การส่งออก  -



                     
การใช้ประโยชน์ทางด้านเนื้อไม้ 
ใช้ในการก่อสร้างและประดิษฐกรรม ไม่มีปัญหาเกี่ยวกับการเข้าทำลายของเชื้อราสีน้ำเงิน ช่อเป็นคุณสมบัติที่เหมาะในการทำเฟอร์นิเจอร์ บานหน้าต่าง วงกบ และไม้แกะสลักดีมาก

                      การใช้ประโยชน์ทางด้านภูมิสถาปัตย์  -

                      การใช้ประโยชน์ทางด้านภูมิสถาปัตย์  -

                      การใช้ประโยชน์ทางด้านโภชนาการ  -

                      การใช้ประโยชน์ทางด้านสมุนไพร ใช้ประโยชน์ในการทำยาได้ทุกส่วน ตั้งแต่ ใบ ดอก เมล็ด เปลือก ราก และแก่น โดยเฉพาะใบและเมล็ด สามารถนำมาสกัดยาฆ่าแมลง ซึ่งเป็นสารสกัดจากธรรมชาติ มีพิษตกค้างน้อย เป็นการช่วยรักษาสภาพแวดล้อม

      เนื่องจากสะเดาเทียมเป็นต้นไม้ทางภาคใต้ ไม่พบว่าขึ้นอยู่ในภาคอื่น ๆ ดังนั้นสภาพภูมิอากาศรวมไปในภาคอื่น จึงควรมีการทดลองศึกษาก่อน