
ชื่อวิทยาศาสตร์
Cephalostachyum
pergracile
ชื่อวงศ์ Gramineae
ชื่อสามัญ
-
ชื่อทางการค้า
-
ชื่อพื้นเมือง ไม้ข้าวหลาม
(ทั่วไป) ไม้ป้าง (ภาคเหนือ) ขุยป้าง
(เชียงใหม่) ว่าบลอ (กะเหรี่ยง)
แม่พล้อง (กระเหรี่ยง
กาญจนบุรี)

เป็นไผ่ขนาดกลาง
ลำต้นลักษณะตรง
มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 3-8 ซม.
เนื้อลำบางหนาไม่ถึง 5 มม.
ปล้องยาวประมาณ 20-45 ซม.
สูงประมาณ 7-30 ซม.
มีสีเขียวปนเทา
กาบมีสีหมากสุก
กาบหุ้มลำหลุดร่วงง่าย
มีการแตกกิ่งขนาดเท่า ๆ
กันรอบข้อ
รูปทรง (เรือนยอด)
ใบ เป็นรูปลิ่มยาว 15-30
ซม. กว้าง 3-6 ซม. ขอบใบสากคม
ครีบใบเห็นได้ชัดมาก
ขอบมีขนสีจาง ๆ
กระจังใบแคบมาก
กาบหุ้มใบไม่มีขนหรือเกือบไม่มีขน
ขอบกาบหุ้มใบมีขนสีขาว ๆ
โคนใบกลม
ดอก จะออกดอกเป็นกลุ่ม(Gregariour
flowering)ไม้ไผ่ที่ออกดอกประเภทนี้
จะออกดอกพร้อมๆกัน
ครอบคลุมพื้นที่เป็นบริเวณกว้าง
สี -
กลิ่น -
ออกดอก-
ผล
หน่อมีขนาดใหญ่
ผลแก่ -

ในธรรมชาติมักจะพบขึ้นอยู่เป็นกลุ่ม
ๆ ในป่าเบญจพรรณผสมสูงแล้ง
ป่าเบญจพรรณผสมสูงชื้น
ป่าดงดิบแล้ง
และป่าดงดิบชื้น
มีมากในประเทศไทย
ซึ่งจะพบได้ทางภาคเหนือตอนเหนือของจังหวัดกาญจนบุรี
และภาคตะวันออกเฉียงเหนือบางส่วน
การขยายพันธุ์และการผลิตกล้า
แยกเหง้าและเพาะเมล็ด
ปริมาณเมล็ด/1 กิโลกรัม ประมาณ
37,000 เมล็ด
ปัจจัยสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการปลูก
-
ดิน
-
ความชื้น
ต้องการความชื้นสม่ำเสมอตามบริเวณที่มีลำธาร
และลำน้ำ
แสง -
การปลูกดูแลบำรุงรักษา
การคัดเลือกพื้นที่และเตรียมพื้นที่ปลูก
ควรเตรียมพื้นที่ไว้ตั้งแต่ฤดูแล้ง
ซึ่งจะทำงานได้สะดวกสามารถลงมือปลูกได้ทันในต้นฤดูฝน
โดยในพื้นที่ที่เป็นแอ่ง
ที่ลุ่มน้ำขัง มีเนิน
หรือมีตออยู่ในพื้นที่ต้องไถบุกเบิก
กำจัดตอออกให้หมด
ปรับสภาพพื้นที่ให้เรียบ
แต่ถ้าเป็นพื้นที่ราบอยู่แล้ว
แค่ไถพรวนกำจัดวัชพืชอย่างเดียวก็พอ
ในแหล่งที่สามารถให้น้ำได้ตลอดทั้งปี
ก็สามารถปลูกไผ่ได้ตลอดปีเช่นกัน
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือควรปลูกตั้งแต่ฝนเริ่มตก
จนถึงปลายเดือนมิถุนายน
หากฝนทิ้งช่วง ควรให้น้ำช่วย
หลุมที่ปลูกไผ่ตงควรมีขนาด
กว้างxยาวxลึก
ไม่น้อยกว่า 50x50x50
เซนติเมตร
ให้ใช้ปุ๋ยหินฟอสเฟต 1
กระป๋องนม (ประมาณ
300-500 กรัม) ต่อหลุม
ผสมปุ๋ยคอกเก่าที่สลายตัวแล้ว
1 บุ้งกี๋ (ประมาณ
1 กิโลกรัม) และยาฆ่าแมลงฟูราดาน
1-1.5 ช้อนแกง (10-15
กรัม) คลุกเคล้ากับดินบนให้ทั่วแล้วกลบกลับคืนลงไปในหลุม
ให้ระดับดินสูงกว่าเดิมเล็กน้อยเผื่อสำหรับดินยุบตัวภายหลัง
วิธีการปลูกและระยะปลูกที่เหมาะสม
ระยะเวลาที่เหมาะ
ต่อการปลูกไผ่ อยู่ในช่วงฤดูฝน
คือ ระหว่างเดือนพฤษภาคม -
กันยายน เนื่องจาก ช่วง
ระยะที่เริ่มปลูกไผ่ต้องการน้ำมาก
การปลูกในช่วง ฤดูฝน จึงลด
ค่าใช้จ่าย ในการรดน้ำ
ลงได้มาก
และเป็นระยะที่ไผ่มีการเจริญเติบโตดีที่สุดด้วย
สำหรับ ระยะปลูก และจำนวน
กล้าไผ่ต่อพื้นที่
ควรมีระยะปลูกประมาณ 8 x 8 เมตร
หรือประมาณ 25 กอต่อไร่ หลุมที่
ี่ปลูก มีขนาดประมาณ 50 x 50 x 50 เซนติเมตร
โรคและแมลง
มีโรคแมลงและศัตรูธรรมชาติ
เหมือนกับโรคแมลงและศัตรูธรรมชาติของไผ่เลี้ยง
อัตราการเจริญเติบโต
มีอัตราการเจริญเติบโต
เหมือนกับอัตราการเจริญเติบโต
ของไผ่เฮียะ
การเก็บรักษา
มีวิธีการเก็บรักษา
เหมือนกับการเก็บรักษาของไผ่เลี้ยง
การแปรรูป
ลำอายุประมาณ
6-10 เดือนใช้ทำกระบอกข้าวหลาม
เครื่องจักสานต่าง ๆ
ลำแก่ใช้ในการสร้างบ้านเรือน
โดยมากใช้ทำกลอนหลังคา
สานเป็นฝาหรือเพดาน
เป็นเสื่อแทนพรมปูบ้าน

การตลาด -
การบริโภค -
การนำเข้า -
การส่งออก -

การใช้ประโยชน์ทางด้านเนื้อไม้
ลำอายุประมาณ
6-10 เดือนใช้ทำกระบอกข้าวหลาม
เครื่องจักสานต่าง ๆ
การใช้ประโยชน์ทางด้านนิเวศน์
-
การใช้ประโยชน์ทางด้านภูมิสถาปัตย์
ลำแก่ใช้ในการสร้างบ้านเรือน
โดยมากใช้ทำกลอนหลังคา
สานเป็นฝาหรือเพดาน
เป็นเสื่อแทนพรมปูบ้าน
การใช้ประโยชน์ทางด้านโภชนาการ
รับประทานได้แต่มีรสขม
การใช้ประโยชน์ทางด้านสมุนไพร

การที่ไม้ไผ่มีอายุขัยในการออกดอกและผลิตเมล็ดยาวนาน
ไม้ไผ่ชนิดต่าง ๆ
มีอายุขัยในการออกดอกแตกต่างกัน
บางชนิดใช้เวลานาน 30-50 ปี
ในขณะที่บางชนิดใช้เวลานานกว่า
ร้อยปี
อายุขัยในการออกดอกที่ยาวนานและไม่สม่ำเสมอเช่นนี้
เป็นอุปสรรคในการเก็บหาและรวบรวม
ตัวอย่างที่จำเป็นในการจำแนกพันธุ์อย่างยิ่ง
และข้อเสนอแนะ
การทำสวนไผ่นั้นใช้เวลานานถึง
3 ปี จึงจะตัดหน่อได้
ช่วงเวลาที่ยังไม่ได้ตัดหน่อ
พื้น
ที่ว่างอาจปลูกพืชแซมเพื่อเพิ่มรายได้
เช่น ฟัก แฟง มันเทศ พริก
มะเขือ
หรือพืชตระกูลถั่วต่าง ๆ และ
ยังเป็นการเพิ่มธาตุอาหารแก่ดินอีกด้วย
หลังจากไผ่ให้หน่อแล้วภายในสวนอาจร่มครึ้มมากขึ้น
จึง
เหมาะสำหรับปลูกไม้ประเภทต้นเตี้ยที่ขึ้นได้ดีในที่ร่ม
เช่น กระชาย
หรืออาจปลูกพืชเศรษฐกิจใหม่
ๆ เช่น
สมุนไพรจำพวกเร่วและกระวานลงในสวนได้
หรือปลูกควบกับไม้ผลอื่น ๆ
ได้ด้วย เช่น กระท้อน ขนุน
ส้มโอ เป็นต้น
|