การศึกษาดัชนีการชะล้างพังทลายดินโดยน้ำฝนในพื้นที่สถานีวิจัยลุ่มน้ำลำตะคอง จังหวัดนครราชสีมา |
||||||||
Determination
of Rainfall Erosivity at LamtakongWatershed Research Station, |
||||||||
กิตติพงษ์ พงษ์บุญ * |
||||||||
Kittipong Pongboon * |
||||||||
บทคัดย่อ |
||||||||
การศึกษาดัชนีการชะล้างพังทลายของดินโดยน้ำฝนในพื้นที่สถานีวิจัยลุ่มน้ำลำตะคอง จังหวัดนครราชสีมา ได้ทำการศึกษาโดยใช้ข้อมูลปริมาณน้ำฝนเป็นรายครั้งที่มีฝนตกจำนวน 132 ครั้ง ระหว่างปี 2541 2542 พบว่า ค่าดัชนีการชะล้างพังทลายของดินโดยน้ำฝน ที่ความหนักเบาของฝนตกในช่วงเวลา 30 นาที ที่มีระยะเวลาฝนตกนาน 30 นาที และมีปริมาณน้ำฝน 32 มม. ให้ค่ามากที่สุดเท่ากับ 6 ซม./ชม. และจากการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างค่าดัชนีการชะล้างพังทะลายของดินโดยน้ำฝนกับปริมาณน้ำฝนในแต่ละครั้งที่มีฝนตกพบว่า มีความสัมพันธ์กันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติโดยมีค่าสัมประสิทธิ์ตัวกำหนด (coefficient of determination, r2) เท่ากับ 0.845 |
||||||||
Abstract |
||||||||
The study on rainfall erosivity index at the Lamtakong Watershed Research Station, Nakhon Ratchasima Province, employed 132 storms of rainfall data recorded in 1998 - 1999. The results revealed that the rainfall erosivity index at the 30 minutes of rainfall intensity with 30 minutes duration and 32 mm of rainfall gave the hightest value equal to 6 cm/hr. It was found that the rainfall erosivity index and the rainfall by storm showed the significant relationship with the coefficient of determination (r2) of 0.845. |
||||||||
_____________________ |
||||||||
* ส่วนวิจัยและพัฒนาสิ่งแวดล้อมป่าไม้ สำนักวิชาการป่าไม้ กรมป่าไม้ เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900 |
||||||||
Forest Environment Research and Development Division, Forest Research Office, Royal Forest Department, |
||||||||
Chatuchak, Bangkok 10900 |
||||||||
คำนำ |
||||||||
การชะล้างพังทลายของดินเป็นปัญหาที่สำคัญมากอันหนึ่งที่ก่อผลกระทบต่อกิจกรรมการเกษตรของโลก เมื่อเกิดการพังทลายของดินตะกอนจะถูกพัดพาไปและทับถมยังแหล่งน้ำต่างๆ ก่อให้เกิดปัญหาในการใช้ประโยชน์แหล่งน้ำนั้นๆ การพังทลายของดินเกิดจากสาเหตุสองประการ คือ (1) เกิดขึ้นจากปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ซึ่งปกติมีความรุนแรงไม่มากนัก (เกษม, 2539) (2) เกิดจากกิจกรรมของมนุษย์หรือสัตว์ เช่น |
||||||||
การไถพรวนและการทำลายพืชธรรมชาติที่ขึ้นปกคลุมดิน เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรง (นิพนธ์, 2527) กระบวนการพังทลายของดินเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นนานมาแล้วตั้งแต่อดีตเป็นกระบวนการพังทลายของดินโดยอิทธิพลของน้ำเป็นส่วนใหญ่ จากฝนที่ตกลงมา แรงตกกระทบของเม็ดฝนทำให้อนุกาคดินแตกกระจายถูกน้ำพัดพาไปจากพื้นที่นั้น (Schwab และ คณะ, 1993) กระบวนการดังกล่าวจะเกิดขึ้นรุนแรงเพียงใดขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ ที่ประกอบไปด้วย ปัจจัยน้ำฝน คุณสมบัติของดิน และแบบแผนการจัดการเป็นสำคัญ ปัจจัยน้ำฝนนับว่ามีบทบาทมากกว่าปัจจัยอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งค่าความหนักเบาของฝนที่ตก ถ้าค่าความหนักเบาของฝนมากกว่าสมรรถนะการซึมน้ำผ่านผิวดิน จะเกิดการไหลบ่าของน้ำขึ้นทันที (Agassi, 1996) การศึกษาวิจัยในครั้งนี้เป็นการศึกษาเกี่ยวกับปัจจัยน้ำฝนที่มีอิทธิพลต่อการพังทลายของดิน มีวัตถุประสงค์ เพื่อคำนวณหาค่าปัจจัยน้ำฝนในรูปแบบของพลังงานจลน์และค่าดัชนีการชะล้างพังทลายดินโดยน้ำฝน และเพื่อเป็นข้อมูลในการนำไปประยุกต์ใช้ในการประเมินค่าการชะล้างพังทลายของดินต่อไป |
||||||||
อุปกรณ์และวิธีการ |
||||||||
ทำการเก็บรวบรวมข้อมูลน้ำฝนจากเครื่องวัดน้ำฝนอัตโนมัติ ที่ติดตั้งที่สถานีวิจัยลุ่มน้ำลำตะคอง ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2541 สิงหาคม 2542 นำกราฟข้อมูลน้ำฝนมาทำการวิเคราะห์ ดังนี้ |
||||||||
คำนวณค่าดัชนีการพังทลายดินโดยน้ำฝน (rainfall erosivity index, EI30 index) |
||||||||
EI30 index เป็นค่าของพลังงานทั้งหมดที่มีบทบาทต่อการชะล้างพังทลายของดิน โดยเป็นผลคูณระหว่างพลังงานของฝนที่ตกในครั้งนั้น (E) กับค่าความหนักเบาของฝนที่ตกสูงสุดในช่วง 30 นาที (I30) ที่เกิดขึ้นจากการตกของฝนในครั้งเดียวกัน โดยใช้สมการดังต่อไปนี้ (Wischmeier and Smith, 1978) |
||||||||
E = (210.3 + 89 log10 li) Di (1) |
||||||||
|
||||||||
|
||||||||
จากสมการ (1) เขียนใหม่ได้ดังนี้ |
||||||||
Ei = 210.3 + 89 log10 li (2) | ||||||||
|
||||||||
ทำการคำนวณค่าพลังงานจลน์ของน้ำฝนทุกช่วงที่มีการเปลี่ยนค่า Ii นำมารวมเป็นค่าพลังงานจลน์ทั้งหมด (E) ของน้ำฝนที่ตกในครั้งนั้น |
||||||||
คำนวณค่าความหนักเบาของฝนมากที่สุดในช่วงเวลา 30 นาที (I30) โดยการอ่านค่าให้ได้ปริมาณน้ำฝนสะสมที่เวลาทุกๆ 15 นาที แปลงค่าปริมาณน้ำฝนในแต่ละช่วงเวลาดังกล่าวเป็นค่าปริมาณน้ำฝนในช่วง 30 นาที โดยการเหลื่อมเวลาไปช่วงละ 30 นาที จะได้ค่า I30 |
||||||||
จากนั้นคำนวณค่า EI30 โดยนำค่าผลรวมของค่า E คูณด้วย I30 |
||||||||
คำนวณค่า KE>1-index |
||||||||
พลังงานจลน์ (Ei) ที่คำนวณจากค่าความหนักเบาของฝนที่มากกว่า 1 นิ้ว/ชม. จะได้เป็นค่า KE>1-index |
||||||||
คำนวณค่า KEsI30max-index |
||||||||
หาค่าความหนักเบาของฝนทั้งหมด (storm rainfall intensity, Is) |
||||||||
Is = A/t, (3) |
||||||||
เมื่อ A คือปริมาณน้ำฝนสะสมทั้งหมด และ t คือ ระยะเวลาที่ฝนตก นำค่า Is ที่ได้มาคำนวณหาค่า KEsI30max ขั้นตอนดังต่อไปนี้ |
||||||||
KEs = 210.3 + 89 log10 ls (4) | ||||||||
KEsI30max = KEs.I30 / 100 (5) |
||||||||
เมื่อ I30max เป็นค่าความหนักเบาของฝนมากที่สุดในช่วงเวลา 30 นาที |
||||||||
ผลและวิจารณ์ |
||||||||
ลักษณะการกระจายค่าความหนักเบาของฝนในบริเวณพื้นที่ที่ทำการศึกษา มีค่า ตั้งแต่ 0.2 ถึง 60.0 มม./ชม. มากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ ของฝนที่ตกในพื้นที่มีค่าความหนักเบาของฝน ต่ำกว่า 20 มม./ชม. (ภาพที่ 1) |
||||||||
การคำนวณหาค่าดัชนีการพังทลายดินโดยน้ำฝน คำนวณจากค่าความหนักเบาของฝนจำนวน132 ครั้ง โดยค่า I30max เท่ากับ 6.0 ซม./ชม. จากฝนตกนาน 0.5 ชม. ปริมาณน้ำฝน 32.0 มม. และมีพลังงานจลน์รวม 865.15 m-ton/ha ค่า EI30max เท่ากับ 5,190.90 m-ton/ha ค่าพลังงานจลน์ที่เกิดจากค่า KE>1 เท่ากับ 838.67 m-ton/ha เกิดขึ้นในช่วงต้นของฝนตก ค่า KE>1 มี 1 ช่วง จากค่า I30max เท่ากับ 6.0 ซม./ชม. |
||||||||
สำหรับตัวดัชนี EI เป็นปัจจัยที่ให้ค่าสหสัมพันธ์กับการสูญเสียดินที่ดีมากตัวหนึ่งทั้งนี้เนื่องจากเป็นค่าที่ใช้ความหนักเบาของฝนสูงสุดในการตกแต่ละครั้งมาคำนวณ อย่างไรก็ตาม Hudson (1971) สรุปได้ว่า ค่าความหนักเบามากกว่า 1 นิ้ว/ชม. เพียงประการเดียวก็สามารถเป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการพังทลายดินได้ เพราะหลังจากนั้นค่าความหนักเบาของฝนมีค่าน้อยกว่า 1 นิ้ว/ชม. จะทำให้เกิดการชะล้างพังทลายดินมีน้อยลงไป แต่ในกรณีนี้พื้นที่ของลุ่มน้ำลำตะคองมีพื้นที่ที่เป็นป่าเบญจพรรณและป่าดิบแล้งขึ้นปกคลุม มีความหนาแน่นเรือนยอดแผ่ปกคลุมตั้งแต่ 30 - 60 เปอร์เซ็นต์ ขึ้นไป ทำให้พลังงานที่เกิดจากความหนักเบาของฝนที่น้อยกว่า 1 นิ้ว/ชม. ถูกลดลงโดยชั้นของเรือนยอดดังกล่าวโดยการลดแรงตกกระทบจากเม็ดฝนต่อผิวดิน โอกาสที่จะเกิดการไหลบ่าหน้าดินของน้ำจึงมีน้อย ถึงแม้ค่าพลังงานจลน์รวมจากฝนตกในครั้งนี้จะมีค่ามากก็ตาม |
||||||||
การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยน้ำฝนกับปริมาณน้ำฝนรายครั้ง พบว่า ปัจจัยจากค่าปริมาณน้ำฝนรายครั้ง มีส่วนอธิบายค่าการชะล้างพังทลายดินโดยน้ำฝนค่อนข้างดี (ภาพที่ 3) โดยมีค่าสัมประสิทธิ์ตัวกำหนด (Coefficient of determination, R2) และรูปแบบสมการลอการิทั่ม (Logarithmic model) ดังนี้ |
||||||||
EI30max = 1.9329 R2.0354 r2 = 0.845 | ||||||||
รูปแบบสมการดังกล่าวนี้เป็นแนวโน้มลดลงเนื่องจากลักษณะการตกของฝนมีความหนักเบาไม่แน่นอน บางวันปริมาณน้ำฝนรวมมากในขณะที่ความหนักเบาของฝนต่ำ ในทางตรงกันข้ามกับบางวันปริมาณน้ำฝนรวมน้อยในขณะที่ความหนักเบาของฝนสูง อย่างไรก็ตาม ข้อมูลที่ใช้ในการคำนวณมีจำนวนไม่มากนัก จำเป็นต้องอาศัยการเก็บข้อมูลที่ยาวนานขึ้น นอกจากนี้รูปแบบสมการที่ได้สอดคล้องกับผลการศึกษาของนักวิทยาศาสตร์หลายคน ได้แก่ Elsenbeer และคณะ (1993) ศึกษาในพื้นที่ |
||||||||
La Cuenca, Western Amezonia ได้รูปแบบสมการ ดังนี้ |
||||||||
|
||||||||
Yu และคณะ (1995) ศึกษาในพื้นที่ New South Wales, Australia ได้รูปแบบสมการ ดังนี้ |
||||||||
|
||||||||
Mikhailova และคณะ (1997) ได้วิเคราะห์ปัจจัยดังกล่าว ในพื้นที่ Honduras พบว่า สมการเส้นตรงแสดงความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยดังกล่าว ดังต่อไปนี้ |
||||||||
|
||||||||
เมื่อ Ps คือ ปริมาณน้ำฝนรายครั้ง (ม.ม.) |
||||||||
Rs คือ ปัจจัยการชะล้างพังทลายดินโดยน้ำฝน (m-ton/ha) | ||||||||
พิณทิพย์ (2536) ได้วิเคราะห์ปัจจัยดังกล่าว ในพื้นที่สถานีวิจัยลุ่มน้ำน่าน จังหวัดน่าน ได้รูปแบบสมการ ดังนี้ |
||||||||
|
||||||||
|
||||||||
Tangtham (1995) ได้วิเคราะห์ปัจจัยดังกล่าว ในพื้นที่ดอยอ่างขาง จังหวัดเชียงใหม่ พบว่า สมการเส้นตรงแสดงความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยดังกล่าวได้ดีมาก ดังต่อไปนี้ |
||||||||
|
||||||||
|
||||||||
Kosolanuntawong (1985) ได้วิเคราะห์ปัจจัยดังกล่าว ในพื้นที่ลุ่มน้ำห้วยคอกม้า จังหวัดเชียงใหม่ พบว่า สมการยกกำลังแสดงความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยดังกล่าวได้ดี ดังต่อไปนี้ |
||||||||
|
||||||||
|
||||||||
|
||||||||
จากแผนภาพการกระจายที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างค่าดัชนีต่างๆ ภาพที่ 1 และ 2 และการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างตัวดัชนีแต่ละตัว ในรูปแบบสมการการถดถอย (regression equation) และรูปแบบสมการลอการิทั่ม ซึ่งให้ค่าสัมประสิทธิ์ตัวกำหนดดีกว่าแบบอื่น พบว่าตัวแปรดังกล่าวมีความสัมพันธ์กันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับความเชื่อมั่น 95 เปอร์เซ็นต์ |
||||||||
![]() |
||||||||
ภาพที่ 1 ความสัมพันธ์ระหว่างค่าความหนักเบาของฝน (y) กับโอกาสของการเกิดฝน (x) ที่สถานีวิจัยลุ่มน้ำลำตะคอง จังหวัดนครราชสีมา |
||||||||
|
ภาพที่
2
ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยการชะล้างพังทลายโดยฝน
(EI30max) กับปริมาณน้ำฝน (Ra) ที่สถานีวิจัยลุ่มน้ำลำตะคอง |
|
สรุป |
จากการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับปัจจัยการชะล้างพังทลายดินโดยน้ำฝนที่มีอิทธิพลต่อการพังทลายของดินที่สถานีวิจัยลุ่มน้ำลำตะคอง พบว่าปัจจัยน้ำฝนรายครั้งมีอิทธิพลต่อการชะล้างพังทลายดินในระดับค่อนข้างมาก ซึ่งในความเป็นจริงแล้วปริมาณน้ำฝนที่ตกจะบ่งบอกถึงพลังงานจลน์ที่จะสามารถทำให้เม็ดดินแตกกระจายและถูกพัดพาตะกอนออกจากพื้นที่โดยน้ำที่ไหลบ่าหน้าดิน กล่าวคือ ปริมาณน้ำฝนยิ่งมากจะยิ่งมีความสามารถในการชะล้างพังทลายของดินได้มากตามไปด้วย จากผลการศึกษานี้พบว่าปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการชะล้างพังทลายดินนั้น นอกจากปัจจัยน้ำฝนแล้วยังมีปัจจัยเกี่ยวกับลักษณะทางกายภาพ เช่น ปัจจัยความคงทนของดิน ปัจจัยทางธรณีวิทยา ปัจจัยด้านพืชพันธุ์ ตลอดจนกิจกรรมต่าง ๆ ที่มีอยู่ในพื้นที่ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้มีส่วนอย่างมากที่จะทำให้การเกิดการชะล้างพังทลายของดินมีมากหรือน้อย |
เอกสารอ้างอิง |
เกษม
จันทร์แก้ว. 2539.
หลักการจัดการลุ่มน้ำ.
ภาควิชาอนุรักษ์วิทยา
คณะวนศาสตร์
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, |
นิพนธ์
ตั้งธรรม. 2527.
การควบคุมการชะล้างพังทลายของดิน.
ภาควิชาอนุรักษ์วิทยา
คณะวนศาสตร์ |
พิณทิพย์ ธิติโรจนะวัฒน์. 2536. การศึกษาเปรียบเทียบการสูญเสียดินระหว่างสมการการสูญเสีย |
ดินสากล (USLE)
กับแปลงทดลองในพื้นที่ลุ่มน้ำน่าน.
วิทยานิพนธ์ ปริญญาโท.
มหาวิทยาลัยมหิดล, |
Agassi, M. 1996. Soil Erosion,
Conservation, and Rehabilitation. Marcel Dekker, |
Elsenbeer, H., D.K. Cassel and W.
Tinner. 1993. A daily rainfall erosivity model for |
Kosolanuntawong, T. 1985.
Estimating the C-factors in the universal soil loss equation, |
Mikhailova, E.A., R.B. Bryant, S.J.
Schwager and S.D. Smith. 1997. Predicting rainfall |
Schwab, G.O, H. Delmar, D.
Fangmeier, W. J. Elliot and R. K. Frevert. 1993. Soil and |
Tangtham, N. 1995. Investigation on
soil and water losses in the exotic forest plantation |
Wischmeier, W.H.
and D.D. Smith. 1978. Predicting Rainfall-Erosion: A Guide to |
Yu, B. and C.J. Rosewell. 1995. An
assessment of a daily rainfall erosivity model for |
|
วารสารวิชาการป่าไม้ ปีที่ 2 ฉบับที่ 2 |