ป่าชายเลน เป็นทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญประเภทหนึ่ง มีบทบาทที่สำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศเป็นอย่างมาก ทั้งด้านป่าไม้ การประมง และแผนการอนุรักษ์ระบบนิเวศน์ชายฝั่ง โดยส่วนรวมแล้ว ป่าชายเลนถูกทำลายลดลงอย่างรวดเร็วทุกๆปี ทั้งนี้มีสาเหตุจากการบุกรุก เพื่อใช้พื้นที่ป่าชายเลนประกอบกิจกรรมต่างๆ เช่น การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่ง การขยายตัวของแหล่งชุมชน การสร้างท่าเรือ การก่อสร้างถนน การทำเหมืองแร่ ฯลฯ ด้วยสาเหตุดังกล่าว แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ( พ.ศ. 2540-2544 ) ซึ่งให้ความสำคัญต่อทรัพยากรของชาติ จึงกำหนดมาตรการ แนวทาง เพื่อปกป้องทรัพยากรต่างๆ ของชาติให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมแบบยั่งยืน เราจึงมีความจำเป็นที่ต้องเรียนรู้ และทำความรู้จักกับป่าชายเลนอย่างถูกต้องต่อไป
ความหมายของป่าชายเลน
ป่าชายเลนหรือที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า
ป่าโกงกาง
เนื่องจากมีไม้โกงกางขึ้นอยู่อย่างมากมาย
สำหรับภาษาอังกฤษใช้ว่า Mangrove Forest
ซึ่งมาจากภาษาปอร์ตุเกส ว่า Mangue
ซึ่งหมายถึงสังคมพืชที่ขึ้นตามฝั่งที่เป็นดินเลน
และบางครั้งเรียกว่า Intertidal Forest
ซึ่งหมายถึง
ป่าที่ขึ้นอยู่บริเวณพื้นที่ชายฝั่งทะเล
ระหว่างน้ำทะเลขึ้นสูงสุดและน้ำทะเลลงต่ำสุด
ป่าชายเลน
เป็นระบบนิเวศที่เชื่อมต่อระหว่างผืนแผ่นดินกับทะเลไว้ด้วยกัน
เป็นเขตกันชนทางธรรมชาติที่คอยปกป้องผืนดินและชายฝั่งทะเล
ให้พ้นความเสียหายจากอิทธิพลลมพายุ
และกระแสคลื่นที่พัดพาชัดสาดชายฝั่งอยู่เป็นประจำ
ขณะเดี่ยวกันยังช่วยเพิ่มพูนพื้นที่งอกเงยให้
กับแผ่นดินอีกด้วย
นอกจากนี้ความสำคัญและคุณค่าของป่าชายเลนยังมีอีกนานับประการ
เช่น
เป็นแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำวัยอ่อน
แหล่งผลิตอาหาร
ไม้ใช้สอยและพืชสมุนไพร ฯลฯ
คำว่า ป่าชายเลน (Mangrove Forest)
โดยทั่วไปแล้ว มีความหมาย 2
ประการ กล่าวคือ
1) ป่าชายเลน
หมายถึง
กลุ่มทางนิเวศวิทยาของพืชไม้ผลัดใบหลายๆ
วงศ์
ซึ่งเหล่านี้มีลักษณะคล้ายคลึงกันในทางสรีรวิทยาและโครงสร้าง
เพื่อปรับตัวให้เข้ากับสภาพพื้นที่เหล่านั้นได้
2) ป่าชายเลน
หมายถึง
สังคมพืชที่ขึ้นโดยรอบชายฝั่งทะเลในแถบร้อน
โดยปกติพืชที่ขึ้นตามชายฝั่งจะเป็นพืชสกุลโกงกาง
(Rhizophora) ขึ้นปะปนกับพรรณไม้อื่นๆ
ในเขตที่อิทธิพลของน้ำทะเลท่วมถึง
ประเภทของป่าชายเลน
ป่าชายเลน
ในประเทศไทยจะแบ่งตามลักษณะพื้นที่
และการท่วมถึงของน้ำทะเล
โดยแบ่งออกได้เป็น 4 ประเภท คือ
1) Basin forest
เป็นป่าชายเลนที่ขึ้นติดกับแผ่นดินใหญ่ตามลำแม่น้ำเล็กๆ
ป่าพวกนี้ได้รับอิทธิพลจากน้ำทะเลน้อยมาก
คือ
น้ำทะเลจะท่วมถึงเฉพาะเวลาที่มีน้ำทะเลขึ้นสูงสุดเท่านั้น
อิทธิพลจากน้ำจืดมีมากกว่า
ลักษณะพันธุ์ไม้ที่ขึ้นอยู่ในป่าชนิดนี้
จะมีลักษณะต้นเตี้ย
มีพวกพืชอาศัยและเถาวัลย์ขึ้นอยู่มาก
2) Riverine forest
เป็นป่าชายเลนที่ขึ้นอยู่บริเวณชายฝั่งแม่น้ำใหญ่ๆ
ที่ติดต่อกับอ่าว ทะเล ทะเลสาบ
ป่าชายเลนประเภทนี้
ได้รับอิทธิพลจากน้ำทะเลอยู่อย่างสม่ำเสมอ
น้ำทะเลท่วมถึงเป็นประจำทุกๆ
วัน
ยกเว้นป่าชายเลนบริเวณที่ขึ้นอยู่บนชายฝั่งของเกาะใหญ่ๆ
ซึ่งน้ำทะเลไม่สามารถจะท่วมได้หมด
เนื่องจากเป็นที่ลาดชัน
ซึ่งน้ำทะเลจะท่วมถึงได้เฉพาะเวลาที่มีน้ำทะเลขึ้นสูงสุดเท่านั้น
พันธุ์ไม้ของป่าชายเลน
ประเภทนี้สามารถเจริญเติบโตได้ดี
และเป็นป่าที่ค่อนข้างสมบูรณ์
3) Fringe forest
ป่าชายเลนประเภทนี้ขึ้นอยู่ตามชายฝั่งทะเล
ติดกับผืนดินใหญ่หรือบริเวณชายฝั่งที่เป็นเกาะใหญ่ๆ
ได้รับอิทธิพล
จากน้ำทะเลสม่ำเสมอ
น้ำทะเลท่วมถึงเป็นประจำทุกวัน
ยกเว้นป่าชายเลนบริเวณที่ขึ้นอยู่บนชายฝั่งของเกาะใหญ่ๆ
ซึ่งน้ำทะเลไม่สามารถจะท่วม
ได้หมด เนื่องจากเป็นที่ลาดชัน
ซึ่งน้ำทะเลจะท่วมถึงได้เฉพาะเวลาที่มีน้ำทะเลขึ้นสูงสุดเท่านั้น
พันธุ์ไม้ของป่าชายเลนประเภทนี้สามารถเจริญ
เติบโตได้ดี
และเป็นป่าที่ค่อนข้างสมบูรณ์
4) Overwash forest
เป็นป่าชายเลนที่ขึ้นอยู่บนเกาะเล็กๆ
ป่าบริเวณนี้จะถูกน้ำทะเลท่วมทั้งหมด
เมื่อระดับน้ำทะเลขึ้นสูงสุด
การเจริญเติบโตของป่าชนิดนี้ต่ำ
เนื่องจากได้รับอิทธิพลจากลมและน้ำทะเลมาก
น้ำทะเลที่ท่วมป่าชายเลนประเภทนี้มักเป็นน้ำทะเลที่ไหลออกจาก
ป่าเป็นส่วนใหญ่
ซึ่งเป็นผลให้ปุ๋ยและแร่ธาตุอาหารในป่าชายเลนชนิดนี้ถูกชะไปโดยกระแสน้ำ
อันเป็นเหตุให้การเจริญเติบโตของป่าชายเลนชนิดนี้
ไม่ดีเท่าที่ควรและป่ามักจะมีลักษณะเตี้ยกว่าปกติ
บริเวณที่พบป่าชายเลน
โดยทั่วไปป่าชายเลนชอบขึ้นอยู่บริเวณชายฝั่งทะเลที่มีสภาพเป็นดินเลน
และเป็นที่ราบกว้าง
มีน้ำทะเลท่วมถึงอย่างสม่ำเสมอ
ลักษณะภูมิประเทศ
เป็นปัจจัยสำคัญ
ที่มีอิทธิพลต่อลักษณะโครงสร้างโดยเฉพาะชนิด
และการกระจายของพันธุ์ไม้ตลอดจนขนาดพื้นที่ของป่าชายเลนอย่างมาก
ถ้าเป็นชายฝั่งประเภทจมตัว
ซึ่งเป็นที่ราบแคบๆ
ริมฝั่งทะเลหรือรอบๆ
เกาะใกล้กับภูเขาสูง
ป่าชายเลนบริเวณนี้จะมีลักษณะเป็นแนวแคบๆ
แต่ถ้าชายฝั่งทะเลมีพื้นที่ราบกว้างจะมีป่าชายเลนขึ้นอยู่
เป็นพื้นที่ขนาดใหญ่
ป่าชายเลนจะพบขึ้นอยู่ทั่วไปตามชายฝั่งบริเวณปากแม่น้ำ ทะเลสาบ ปากอ่าว และเกาะต่างๆ ของประเทศ ในแถบโซนร้อน (Tropical region) ส่วนบริเวณเขตเหนือหรือใต้โซนร้อน (Sub-tropical region) จะพบป่าชายเลนอยู่บ้างเป็นส่วนน้อย เนื่องจากสภาพภูมิอากาศไม่เหมาะสมนัก สำหรับพื้นที่ป่าชายเลนที่ค้นพบทั่วโลกรวมทั้งหมด มีประมาณ 113.4 ล้านไร่ ซึ่งกระจัดกระจายอยู่ในแถบโซนร้อน
จากการศึกษาของนักวิชาการพบว่า การกระจ่ายของพรรณไม้ในป่าชายเลนทั่วโลก พบว่า มีลักษณะที่คล้ายคลึงกัน 2 กลุ่มใหญ่ๆ กล่าวคือ ป่าชายเลนในแถบโลกเก่าหรืออินโด-แปซิฟิก กับป่าชายเลนในแถบโลกใหม่ และอาฟริกาตะวันตก กลุ่มแรกจะมีรูปแบบการแพร่กระจายแผ่กว้าง จากอาฟริกาตะวันออก เหนือทะเลแดง รอบๆ ชายฝั่งทะเลประเทศอินเดียเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ฟิลิปปินส์ ทางตอนใต้ของประเทศญี่ปุ่น ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ หมู่เกาะทะเลใต้ และทางตะวันออกของหมู่เกาะซามัว ส่วนป่าชายเลนทางแถบโลกใหม่ มีการกระจายจากชายฝั่งของ มหาสมุทรแอตแลนติก ทางด้านทวีป อาฟริกาและด้านทวีปอเมริกาเหนือ ลงไปถึงทวีปอเมริกาใต้
สำหรับประเทศไทย ป่าชายเลนจะปรากฏอยู่ตามบริเวณพื้นที่ชายฝั่งสองข้างของบริเวณอ่าวไทย อยู่ตามบริเวณพื้นที่ชายฝั่งทะเลที่เป็นดินเลน และสภาพพื้นที่ต่ำ ใกล้แม่น้ำมีน้ำกร่อยไหลผ่าน ในปี ค.ศ.1976 Aksokoae รายงานไว้ว่าประเทศไทยมีเนื้อที่ป่าชายเลนชนิดนี้อยู่ประมาณ 1,954,465 ไร่ หรือ 3,127 ตารางกิโลเมตร โดยขึ้นอยู่ในจังหวัดต่างๆ ตามชายฝั่งทะเลด้านมหาสมุทรอินเดียและอ่าวไทย จำนวน 22 จังหวัด ทั้งในภาคใต้ ภาคตะวันออก และบริเวณปากน้ำอ่าวไทยจังหวัดสมุทรปราการ สมุทรสาคร สมุทรสงคราม เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ฯลฯ จึงมีความจำเป็นที่จะต้องร่วมกัน อนุรักษ์นิเวศชายฝั่งทะเล อันเป็นแหล่ง ก่อเกิดป่าชายเลน
สถานการณ์ป่าชายเลนในประเทศไทย
ในอดีตที่ผ่านมา
ป่าชายเลนของประเทศไทยถูกโค่นตัดฟันไปกว่าล้านไร่
เพื่อการพัฒนาต่างๆ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำนากุ้ง
ยังผลให้
ความสมบูรณ์ของระบบนิเวศน์ป่าชายเลน
ต้องเสื่อมโทรมไปจนใกล้ถึงจุดวิกฤติ
ทั้งนี้พื้นที่ป่าชายเลนของประเทศไทยได้ลดลงอย่างต่อเนื่อง
นับตั้งแต่ปี 2518
ประเทศไทยมีพื้นที่ป่าชายเลนมากกว่า
1.9 ล้านไร่ ในปี 2529 ลดลงเหลือเพียง 1.2
ล้านไร่ ในปี 2532 ลดลงเหลือเพียง 1.1
ล้านไร่ และในปี 2536 ลดเหลือเพียง 1
ล้านไร่ ในช่วงระยะเวลา 18
ปีที่ผ่านมา
พื้นที่ป่าชายเลนของประเทศลดลงถึง
46%
ในปัจจุบันประเทศไทยมีแนวชายฝั่งทะเลยาวประมาณ 2,600 กิโลเมตร โดยมีส่วนที่มีป่าชายเลนขึ้นอยู่ประมาณร้อยละ 36 ของความยาว ชายฝั่งทั้งหมดเท่านั้น ป่าลายเลนในอดีตความอุดมสมบูรณ์มาก ต่อมาเมื่อมีการพัฒนาประเทศมากขึ้น อันเป็นผลจากความเจริญทางด้านเทคโนโลยี ต่างๆ ประกอบกับประชากรของประเทศเพิ่มมากขึ้น การใช้ประโยชน์ของป่าชายเลนเหลืออยู่ประมาณ 1,047,390 ไร่ โดยส่วนใหญ่จะกระจาย อยู่ตามจังหวัดต่างๆ ของประเทศ
สัตว์ที่อาศัยอยู่ในป่าชายเลน
ภายในป่าชายเลน
เราจะพบที่อยู่อาศัยของสัตว์ต่างๆ
ดังนี้คือ บริเวณหน้าผิวดิน
ซึ่งมีสัตว์หลายชนิดอาศัยอยู่
หรือใช้ช่วงเวลาบางส่วนหากิน
บริเวณหน้าดิน
และมีสัตว์หลายชนิดขุดรูอยู่ในดิน
บริเวณแอ่งน้ำที่ขังอยู่อาจจะพบว่ามีสัตว์อาศัยอยู่ตลอดไป
หรือเป็นครั้งคราวตามบริเวณ
ร่องน้ำที่ไหลผ่านป่าชายเลน
บริเวณโพรงไม้ตามลำต้นและกิ่ง
โดยเฉพาะที่มีน้ำขังและบริเวณสุดท้าย
คือ พุ่มไม้และส่วนต่างๆ
ของต้นไม้ เป็นต้น
การกระจายของสัตว์ในป่าชายเลนนั้น
จะพบทั้งในลักษณะแนวราบ
ซึ่งมักจะมีลักษณะการแบ่งเขตของพืช
และพบการกระจายตามแนวดิ่ง
ซึ่งจะแบ่งชัดเจนเช่นเดียวกัน
ตามพื้น ตามราก ลำต้น กิ่งไม้
และตามยอดใบ ใบไม้ เป็นต้น
การกระจายของสัตว์ในป่าชายเลนจะขึ้นกับปัจจัย
สิ่งแวดล้อมที่สำคัญ 4 ประการ คือ
การท่วมถึงของน้ำทะเลและช่วงเวลาน้ำขึ้น-ลง
ลักษณะและชนิดของดิน
ความเค็มของน้ำและความเค็มในดิน
อุณหภูมิ สัตว์ที่พบเห็น ได้แก่
นกในป่าชายเลน
มีทั้งประเภทนกอพยพและนกท้องถิ่น
มีถึง 88 ชนิด
โดยส่วนใหญ่เป็นนกยาง เหยี่ยว
นกหัวโต นกแอ่น นกกระจิบ เป็นต้น
สัตว์ที่เลี้ยงลูกด้วยนม
ประมาณ 35 ชนิด
และที่พบอยู่ทั่วไป ได้แก่ ลิง
นาก แมวป่า และค้างคาว เป็นต้น
สัตว์เลื้อยคลาน ประมาณ
25 ชนิด ซึ่งรวมทั้งงูชนิดต่างๆ
กิ้งก่าและสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ
เช่น เต่า และจระเข้ เป็นต้น
นอกจากนี้ในป่าชายเลนยังมีแมลงอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก
มีถึง 38 ชนิด
ซึ่งรวมถึงผีเสื้อกลางคืน
หนอนผีเสื้อ แมลงปีกแข็ง ริ้น
เพลี้ย และหิ่งห้อย เป็นต้น
พันธุ์ไม้ในป่าชายเลน
ปัจจัยที่ทำให้การขึ้นของพันธุ์ไม้ป่าชายเลน
ขึ้นอยู่เป็นแนวเขตหรือเป็นโซน
มีอยู่หลายปัจจัยด้วยกัน คือ
ความถี่ของการท่วมถึงของน้ำทะเล
ลักษณะทางกายภาพและเคมีภาของดิน
ความเค็มของน้ำในดิน
การระบายน้ำ
และความเปียกชื้นของดิน เป็นต้น
พันธุ์ไม้ป่าชายเลนเป็นกลุ่มไม้ที่ต้องการแสงมาก สามารถขึ้นอยู่และเจริญเติบโตได้ดี เมื่อพื้นที่ชายฝั่งมีปริมาณฝนตกประมาณ 1,500-3,000 มิลลิเมตรต่อปี แต่ก็สามารถขึ้นได้ในพื้นที่ซึ่งมีฝนตกสูงถึง 4,000 มิลลิเมตรต่อปี และมีช่วงระยะเวลาของฝนตก ระหว่าง 8-10 เดือนต่อปี ช่วงเวลาน้ำขึ้นลงจะมีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลง ของความเจริญเติบโตบริเวณป่าชายเลน ในขณะที่น้ำขึ้น ค่าปริมาณความเค็มของน้ำจะสูงขึ้น และลดลงเมื่อน้ำลงด้วย นอกจากนี้ยังมีความแตกต่างของความเค็ม อันเนื่องมาจากน้ำเกิด (Spring tide) และน้ำตาย (Neap tide) ด้วย โดยที่ช่วงน้ำเกิด น้ำที่มีความเค็มสูงจะไหลเข้าสู่ป่าชายเลน เป็นระยะทางได้ไกลกว่าในช่วงที่เกิดน้ำตาย รวมถึง ระยะเวลาการขึ้นลงของทะเล ไม่ว่าจะเป็นการขึ้นลงของน้ำทะเลแบบวันละครั้ง หรือที่เรียกว่าแบบน้ำเดียว (Diurnal tide) หรือขึ้นลงวันละ สองครั้ง ที่เรียกว่าแบบน้ำคู่ (Semi-diurnal tide) หรือขึ้นลงแบบผสม (Mixed tide) ต่างมีอิทธิพลต่อลักษณะโครงสร้างและความอุดม สมบูรณ์ของป่าชายเลน
ป่าชายเลนประกอบด้วยพืชหลายชนิด
ซึ่งรวมถึงไม้ยืนต้น เอปิไฟท์
เถาวัลย์และสาหร่าย
พันธุ์ไม้ส่วนใหญ่หรือเกือบจะทั้งหมด
เป็นพันธุ์ไม้ไม่ผลัดใบ
และมีลักษณะทางสรีรวิทยาและการปรับตัวทางโครงสร้างที่คล้ายคลึงกัน
มีความคงทนต่อสภาพความเค็มได้ดี
พันธุ์ไม้ยืนต้น
และไม้พุ่มเท่าที่สำรวจพบในปัจจุบันของประเทศไทยมี
74 ชนิด (Species) อยู่ใน 53 สกุล (Genera)
รวมอยู่ใน 35 วงค์ (Family)
พันธุ์ไม้ที่สำคัญในป่าชนิดนี้
ส่วนใหญ่อยู่ในตระกูล Rhizophoraceae
เช่นไม้โกงกางถั่ว ประสัก
และโปรง เป็นต้น
ต้นไม้ที่ขึ้นอยู่
ไม่ค่อยมีขนาดสูงใหญ่
และโดยทั่วไปจะสูงราว 20 ถึง 30 เมตร
และมักจะขึ้นเป็นหมู่เป็นพวกล้วน
ๆ ไม้โกงกางหัวสุ่ม
เป็นไม้ที่สูงที่สุด
ในป่าชนิดนี้ คืออาจสูงถึง 40 เมตร
ลักษณะที่ประหลาดของพันธุ์ไม้ในป่าชนิดนี้
ที่จะสังเกตเห็นได้ชัด
คือบางชนิด เช่น
ไม้โกงกางมีรากงอก
มาจากส่วนบนของลำต้นที่เรียกว่า
stilt roots บางชนิดมีรากเป็น
ออกจากส่วนล่างของลำต้นที่เรียกว่า
buttress roots เช่นไม้โปรง
และโกงกางหัวสุ่มนอกจากนี้บางชนิดก็ยังมีรากอากาศ
ที่โผล่ขึ้นมาพ้นที่เลนเรียกว่า
pheumatophores เช่น ไม้ลำแพน เป็นต้น
พันธุ์ไม้ที่สำคัญ ในป่าชนิดนี้
คือ
1. Avicennia alba BI. แสม
2. Avicennia officinalis Linn แสมดำ,
แสมขาว
3. Bruguiera conjugata Merrill
โกงกางหัวสุ่ม, พังกาหัวสุ่ม
4. Bruguiera cylindricra Blume
ถั่วขาว, รุ่ย
5. Bruguiera sexangula Poir.
ประสักแดง
6. Bruguiera parvifoora W.& A.
ถั่วดำ , รังกะแท้
7. Cerbera mapghas Linn.
ตีนเป็ดทราย
8. Cerbera odllam Gaeatn. ตีนเป็ด
9. Ceriops roxburghiana Arn. โปรง
10. Ceriops tagal C.B. Tobinson.
โปรงแดง
11. Excoeearia ahallocha Linn.
ตาตุ่ม
12. Heriteera littoralis Dryand
หงอนไก่
13. Intsia retusa O.Rtze.
หลุมพอทะเล
14. Lumnizera littorea Voigt.
ฝาดแดง
15. Lumnitzera tacemosa Willd.
ฝาดขาว
16. Thizophora candelaria DC.
โกงกางใบเล็ก,พังกา, ใบเล็ก
17. Thizophora mucronata Lamk.
โกงกางใบใหญ่,พังการ ใบใหญ่
18. Sonneratia alba Sm. ลำแพน
19. Sonneratia caseolaris Engl. ลำพู
20. Xylocarpus moluccensis A.Juss.
ตะบูนดำ
21. Xylocarpus obovatus A.Juss.
ตะบูนขาว
ส่วนไม้พื้นล่างในป่าชนิดนี้ ถ้าเป็นที่น้ำทะเลขึ้นท่วมถึงอยู่เสมอๆ ก็มักจะไม่ค่อยมี ถ้าเป็น ที่ดอนขึ้นมา ก็มักมีต้นปรงทะเล (Acrostichum aureum Linn.) ต้นเหลือกปลาหมอดอกขาว (Acanthus ebracteatus Wall.) ต้นเหงือกปลาหมอดอกสีฟ้า (Acanthus ilicifolius Linn.) ในบางแห่งโดยเฉพาะริมฝั่งน้ำ ก็อาจมีต้นจาก (Nipa fruticans Wurmb.) ต้นปอทะเล (Hibisous tiliaceus Linn.) ต้นโพธิ์ทะเล (Thespesia populnea Soland) และต้นเป้ง (Phoenix paludosa Roxb.) ขึ้นอยู่ด้วย
พันธุ์ไม้แต่ละชนิดนี้ จะขึ้นเป็นแนวเขต หรือเป็นโซนที่ค่อนข้างแน่นอน จากบริเวณชายฝั่งจนลึกเข้าไปในป่าด้านใน ลักษณะเช่นนี้เป็น เอกลักษณ์ของพันธุ์ไม้ป่าชายเลน ซึ่งแตกต่างไปจากป่าบกทั้งหลาย การที่เป็นเช่นนี้อาจจะเนื่องมาจากความแตกต่างกัน ในลักษณะ การงอกรากและการเจริญเติบโตของลูกไม้ ซึ่งพันธุ์ไม้แต่ละชนิดมีความสามารถขึ้นอยู่ในบริเวณที่มีลักษณะที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะบริเวณ ที่อยู่ระหว่างระดับน้ำทะเลต่ำสุดและระดับน้ำทะเลสูงสุด ปัจจัยสำคัญที่ทำให้พันธุ์ไม้ของป่าชายเลนขึ้นอยู่เป็นเขตหรือเป็นโซน ได้แก่ ปัจจัย ทางกายภาพและเคมีของดิน โกงกางใบใหญ่ชอบดินที่มีสภาพเป็นโคลนนิ่มๆ โกงกางใบเล็กชอบดินเลนที่ไม่นิ่มเกินไป ไม้แสมชอบบริเวณ ชายหาดที่มีความลาดชันต่ำสามารถทนต่อสภาพดินทรายได้ เมื่อบริเวณนั้นมีน้ำทะเลท่วมถึง ไม้ถั่วขาวจะขึ้นในบริเวณดินเหนียวที่มีลักษณะ ค่อนข้างแข็งมีชั้นของฮิวมัส และมีการระบายน้ำที่ดี จากจะเป็นส่วนประกอบที่สำคัญตามบริเวณป่าชายเลนที่มีสภาพอิ่มตัวด้วยน้ำ พวกปรงทะเล จะมีการกระจายมากในบริเวณที่มีดินแฉะและน้ำกร่อย
ความเค็มของน้ำในดิน
โกงกางใบใหญ่ ลำพู ลำแพน
เป็นพวกซึ่งต้องการความเค็มสูง
จึงมักพบขึ้นอยู่บริเวณติดกับทะเล
สำหรับไม้แสมทะเล
จะมีความทนทานต่อความเค็มในช่วงกว้าง
โดยเจริญเติบโตได้ดีตั้งแต่บริเวณที่มีความเค็มต่ำจนถึงสูง
ความเค็มมีอิทธิพลต่อการลดการแก่งแย่ง
ของพันธุ์ไม้ต่างชนิดกัน
นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่นที่เกี่ยวข้อง
ได้แก่
1)
การระบายน้ำและกระแสน้ำ
ซึ่งในบริเวณที่ถูกปิดกั้นไม่ให้มีการระบายน้ำเข้า
ออก จะทำให้โกงกางตาย
หรือเปลี่ยนสภาพไป
พวกฝาดจะเข้ามาแทนที่ในเวลาต่อมา
2)
ความเปียกชื้นของดิน
3)
ความถี่ของน้ำทะเลท่วมถึง
ในประเทศไทย พบว่าเขตการขึ้นของพันธุ์ไม้จะแตกต่างกันออกไปแต่ละพื้นที่ เช่น ในจังหวัดจันทบุรี เขตนอกสุดที่ติดริมฝั่งทะเล จะมีไม้โกงกาง ทั้งโกงกางใบใหญ่และโกงกางใบเล็ก ถัดเข้าไปเป็นเขตของไม้แสมและไม้ถั่ว ถัดจากกลุ่มพวกนี้จะเป็นไม้ตะบูน และตามด้วยกลุ่มไม้โปรงและฝาด เขตสุดท้ายเป็นแนวต่อระหว่างป่าชายเลนกับป่าบก จะมีกลุ่มไม้เสม็ดขึ้นอยู่ สำหรับจังหวัดพังงา จากริมน้ำเป็นกลุ่มไม้ลำพู-แสม และกลุ่มไม้โกงกาง ใบใหญ่ ตามด้วยกลุ่มไม้โกงกางใบเล็ก-ถั่ว ถัดจากกลุ่มนี้เป็นไม้โปรงและกลุ่มไม้โปรง-ตะบูน สำหรับเขตสุดท้ายจะเป็นกลุ่มไม้ตาตุ่ม-เป้ง
พันธุ์ไม้ที่ขึ้นอยู่ในป่าชายเลน
เป็นไม้ที่เจริญเติบโตภายใต้สภาพแวดล้อมที่แตกต่างไปจาก
สังคมพืชชนิดอื่น
ดังนั้นเพื่อการเจริญเติบโตและ
ความอยู่รอด
และแพร่กระจายพันธุ์ต่อไปอย่างต่อเนื่อง
ซึ่งพันธุ์ไม้จำเป็นที่จะต้องมีการปรับตัว
(Adaptation) และเปลี่ยนแปลงลักษณะ
บางประการของระบบราก ลำต้น ใบ
และผล
ทั้งลักษณะภายนอกและภายในให้เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ที่พันธุ์ไม้แต่ละชนิดขึ้นอยู่
ซึ่งจำเป็น จะต้องมีลักษณะพิเศษ
เช่น
1) ต่อมขับเกลือ (Salt
glands) มีหน้าที่ควบคุม
ระดับความเข้มข้นของเกลือในพืช
ซึ่งจะพบอยู่ทั่วไปในส่วนของไป
เช่น ใบเล็บมือนาง แสม ลำพู-ลำแพน
และเหงือกปลาหมอ
2)
เซลผิวใบมีผนังหนา
เป็นแผ่นมันและมีปากใบ (Stomata)
ที่ผิวใบด้านล่าง
มีหน้าที่สำคัญสำหรับป้องกันการระเหยของน้ำจากส่วนใบ
3)
ใบมีลักษณะอวบน้ำ (Succulent leaves)
โดยเฉพาะพวกไม้โกงกาง ลำพู ลำแพน
จะเห็นได้ชัดกว่าไม้อื่น
มีหน้าที่ช่วยเก็บรักษาปริมาณน้ำ
4) ระบบรากหายใจ
ซึ่งจะพบในพันธุ์ไม้เกือบทุกชนิดในป่าชายเลน
เช่น ไม้แสม ลำพู-ลำแพน
จะเป็นแบบป่าชายเลน เช่น ไม้แสม
ลำพู-ลำแพน จะเป็นแบบ Pneumatophores
หรือพังกาหัวสุม ถั่ว โปรง และฝาด
จะเป็นแบบลักษณะคล้ายเข่า (Knee roots)
ไม้โกงกาง และเหงือกปลาหมอ
จะมีรากแบบค้ำจุน (Stilt roots หรือ Prop roots)
หงอนไก่ทะเล ไม้โปรง และไม้ตะบูน
จะเป็นแบบพูพอน (Buttress roots)
นอกจากนี้รากไม้แสม
และไม้โกงกางที่เจริญเติบโตไม่ถึงพื้นดิน
จะเป็นแบบรากอากาศ (Aerial roots)
หน้าที่สำคัญของระบบรากแบบต่างๆ
นี้นอกจากจะช่วยค้ำจุนแล้ว
ยังทำหน้าที่พิเศษ คือ
คอยรับก๊าซออกซิเจนจากบรรยากาศโดยตรง
เพื่อใช้ในกระบวนการ Metabolism
ทั้งนี้เนื่องจากใต้ผิวดินลงไปมีอากาศไม่เพียงพอ
5)
ผลที่งอกขณะที่ยังอยู่บนต้น
เรียกว่า Vivipary
ซึ่งชาวบ้านเรียกว่า ฝัก
ซึ่งผลเหล่านี้หลังจากที่หลุดจากต้นแม่ลงสู่พื้นดินแล้ว
จะทำให้สามารถเจริญเติบโตทางด้านความสูงอย่างรวดเร็ว
และพัฒนาเพื่อการลอยตัวในน้ำอีกด้วย
6)
ต้นอ่อนหรือผลแก่ลอยน้ำได้
ทำให้สามารถแพร่กระจายพันธุ์โดยทางน้ำได้
7) ระดับแทนนิน
ในเนื้อเยื้อมีปริมาณค่อนข้างสูง
แต่จะแตกต่างกันออกไปในแต่ละชนิด
การปรับตัวลักษณะนี้จะเกิดขึ้นเพื่อป้องกันอันตราย
จากพวกเชื้อราต่างๆ
8)
สามารถทนทานอยู่ได้
ในสภาวะที่มีระดับความเข้มข้นของเกลือโซเดียมคลอไรด์ในใบสูง
ทั้งนี้
เพื่อความอยู่รอดภายใต้สภาพความเค็ม
ของน้ำทะเลได้
ความสำคัญของป่าชายเลน
ป่าชายเลนแม้ว่าจะมีเนื้อที่เพียงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับป่าบก
แต่ทว่าป่าชายเลนนับวันจะมีความสำคัญขึ้น
ต่อชีวิตประชากรและเศรษฐกิจของ
แต่ละประเทศ
ทั้งนี้เป็นเพราะว่าป่าชายเลนเป็นที่รวมของสังคมพืช
สัตว์น้ำ และสัตว์บกนานาชนิด
ป่าชายเลนจึงนับว่าเป็นระบบนิเวศที่มีคุณค่า
มหาศาล ดังนี้
1.
ด้านนิเวศวิทยา
1.1
เป็นแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำวัยอ่อน
แหล่งที่อยู่อาศัย การสืบพันธุ์
วางไข
และหลบภัยของสัตว์น้ำและสัตว์บก
1.2
เป็นแหล่งธาตุอาหาร พืชและสัตว์
และอินทรีย์วัตถุที่สำคัญ
1.3
เป็นแหล่งเก็บกักตะกอน
และกลั่นกรองความสกปรกที่มีจากพื้นที่บก
และถูกพัดพามาจากทะเล
1.4
เป็นแนวเปลี่ยน
และแนวกันชนระหว่างบกและทะเล
1.5
ช่วยสร้างสมดุลของสภาวะอากาศ
และลดความรุนแรงของปัญหาการเปลี่ยนแปลงทางขบวนการตามธรรมชาติ
1.6
ช่วยต้านทางแรงคลื่นและแรงลมที่กระทำต่อขอบฝั่งและตลิ่ง
1.7
ช่วยรักษามวลดิน
และมวลทราบมิให้ถูกพัดพาออกจากขอบฝั่งและริมตลิ่ง
1.8
ช่วยเพิ่มพื้นที่ขอบฝั่งและริมตลิ่ง
เนื่องจากการงอกของพื้นดิน
1.9
ช่วยรักษาความชุ่มชื้นของผิวดิน
และส่งเสริมกิจกรรมของจุลินทรีย์
1.10
เป็นพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพ
2.
ด้านสังคมและการศึกษา
2.1
เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของชุมชน
ซึ่งได้รับประโยชน์จากการจับสัตว์น้ำเป็นอาหาร
การทำฟืนและถ่าน
การค้นหาสมุนไพร
และการพักผ่อนหย่อนใจ
2.2
ช่วยค้ำจุนวิถีชีวิตตามธรรมชาติ
ของสังคมชนบทไทยที่พึ่งพิงอยู่กับธรรมชาติ
โดยการใช้เครื่องมือที่ผลิตขึ้นเอง
เช่น
เครื่องมือจับสัตว์น้ำหน้าดิน
2.3
เป็นเส้นทางติดต่อสื่อสารของชุมชนชายฝั่งและริมน้ำ
ทั้งโดยพื้นดินและทางน้ำ
2.4
เป็นแหล่งค้นคว้า
และให้ความรู้ในเรื่องพืช สัตว์
มนุษย์ และนิเวศวิทยา
3.
ด้านเศรษฐกิจ
3.1
ให้ผลผลิตทางการประมง
3.2
ให้ผลผลิตการเพาะเลี้ยงชายฝั่ง
3.3
ให้ผลผลิตจากการเก็บของป่า
3.4
ให้ผลผลิตจากการเผาถ่าน
3.5
ให้ผลผลิตจากการผลิตสารสกัดจากพันธุ์ไม้
3.6
ให้ผลผลิตยารักษาโรค
3.7
ลดค่าใช้จ่ายในเรื่องการป้องกันชายฝั่ง
3.8
รายได้จากการท่องเที่ยว
การจัดการป่าชายเลนในประเทศไทย
การจัดการป่าชายเลน
ในอดีตมิได้มีการวางโครงการที่ถูกต้องตามหลักวิชาการเท่าใดนัก
เป็นเพียงการวางโครงการชั่วคราว
การอนุญาต
ก็เป็นเพียงการอนุญาตรายย่อยเป็นปีๆ
ไป
ระบบวนวัฒนวิธีก็ยังมิได้มีการกำหนดให้ใช้แน่นอน
ต่อมาในปี 2504
กรมป่าไม้ได้ทำการปรับปรุง
หลักเกณฑ์การทำไม้ป่าชายเลน
และให้การสำรวจจัดวางโครงการป่าชายเลน
ให้เป็นรูปแบบเดียวกันทั้งหมดใหม่
โดยกำหนดรอบตัดฟัน 15 ปี
แบ่งพื้นที่ป่าแต่ละโครงการเป็น
15 แปลง มีการอนุญาตให้ทำ
ให้ออกโดยวิธีประมูลผูกขาด
ครั้งละ 3-5 ปี ทำไม้ปีละแปลง
ระบบวนวัฒนวิธี ที่ใช้คือ Shelterwood with
Minimum Girth Limit
ต่อมาได้มีมติคณะรัฐมนตรี
เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2509
ให้เปลี่ยนแปลงนโยบายการทำไม้
ป่าชายเลน
จากวิธีรายย่อยและการอนุญาตแบบผูกขาด
มาเป็นการอนุญาตโดยวิธีสัมปทานระยะยาว
ตามโครงการ 15 ปี เพื่อสนองนโยบาย
ของรัฐบาลดังกล่าว
กรมป่าไม้ได้ทำการสำรวจ
จัดวางโครงการเพื่อทำไม้ออกให้ถูกหลักวิชาการ
เพื่อให้อำนวยผลผลิตอย่างสม่ำเสมอตลอดไป
โดยการให้สัมปทานระยะยาว 15 ปี
ป่าโครงการแต่ละโครงการจะทำการแบ่งออกเป็น
15 แปลงตัดฟัน ให้ทำไม้ปีละ 1 แปลง
ตามระบบตัดหมด ในแนวสลับ (Clear felling in
alternate strips)
โดยให้ทำการตัดฟันไม้ในแนวตัดฟัน
(Strip) ที่มีขนาดกว้าง 40 เมตร
ออกตลอดแนว แล้วเว้นไว้ 1 แนว
สลับกันไปทั้งแปลงตัดฟัน
หลังจากตัดฟันไม้ออกแล้ว
ผู้รับสัมปทานต้องทำการปลูกบำรุงป่าในบริเวณที่ตัดฟันไม้
ตามวิธีการ ที่กรมป่าไม้กำหนด
เพื่อให้ป่าที่มีการทำไม้ออกมีสภาพป่าสมบูรณ์ขึ้น
สำหรับการทำไม้ในรอบสัมปทานต่อไป
ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติ
เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2526
อนุมัติในหลักการอนุญาตให้มีการทำไม้ป่าชายเลน
โดยการให้สัมปทานระยะยาว 15
ปีต่อไปอีก
ซึ่งสัมปทานฉบับใหม่ที่จะทำไม้
ออกตามสัมปทานในรอบที่สอง
มีการปรับปรุงเงื่อนไขสัมปทานให้เหมาะสมยิ่งขึ้น
ทั้งด้านวิธีการทำไม้และวิธีการปลูกบำรุงป่า
ปัญหาและสาเหตุการทำลายป่าชายเลน
1)
การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ
ส่วนใหญ่จะเป็นการทำนากุ้ง
ซึ่งจะกระจ่ายกันอยู่ตามจังหวัดต่างๆ
พบมากด้านชายฝั่งทะเลอ่าวไทย
ได้แก่ จังหวัดระยอง
จังหวัดจันทบุรี จังหวัดชุมพร
เป็นต้น
กุ้งที่นิยมเลี้ยงกันมาก ได้แก่
กุ้งกุลาดำ
ส่วนกุ้งแซบ๊วยมีการเลี้ยงกันค่อนข้างน้อย
จากข้อมูลในปี พ.ศ.2530
มีการใช้พื้นที่ทั้งหมดโดยประมาณ
689,120 ไร่ หรือ 64.3%
ของพื้นที่การใช้ประโยชน์ป่าชายเลนทั้งหมด
ซึ่งนับเป็นการทำลายป่าชายเลนเพื่อธุรกิจนี้มากที่สุด
เมื่อเทียบกับการใช้ประโยชน์พื้นที่ป่าชายเลนเพื่อกิจกรรมอื่น
ๆ
2) การทำเหมืองแร่
การทำเหมืองแร่ในพื้นที่ป่าชายเลน
ได้ดำเนินการอย่างกว้างขวาง
มาเป็นเวลานานแล้ว
โดยเฉพาะเกี่ยวกับการทำเหมืองแร่
ดีบุกและกิจกรรม
เหมืองแร่นี้พบมากในจังหวัดระนอง
พังงา และภูเก็ตเท่านั้น
ซึ่งมีเนื้อที่รวมทั้งสิ้นประมาณ
34,066 ไร่ หรือ 3.2%
ของพื้นที่การใช้ประโยชน์ป่าชายเลนทั้งหมด
3) การเกษตรกรรม
การเกษตรกรรมส่วนใหญ่ที่ทำในพื้นที่ป่าชายเลน
ได้แก่ การปลูกข้าว
การปลูกมะพร้าว
โดยทั่วไปแล้วสภาพป่าชายเลน
ไม่ว่าจะเป็นคุณภาพดิน
คุณภาพน้ำ และปัจจัยอื่นๆ
ที่เกี่ยวข้อง
ไม่เหมาะสมต่อการพัฒนา
เป็นพื้นที่เกษตรกรรมแต่อย่างใด
เนื่องจากปัญหา ความเค็ม
น้ำทะเลท่วมถึง
การเกิดปัญหาดินเปรี้ยว
จึงทำให้ผลผลิตทางด้านเกษตรกรรมโดยเฉพาะข้าว
มีผลผลิตตกต่ำ
จึงมักจะไม่คุ้มกับ การลงทุน
ดังนั้นจะเห็นได้ว่าการปลูกข้าวและพืชอื่นๆ
ในพื้นที่ป่าชายเลนมักจะทำกันในพื้นที่ค่อนข้างจำกัด
4)
การขยายตัวของแหล่งชุมชน
การพัฒนาแหล่งชุมชนในพื้นที่ป่าชายเลน
จะพบเห็นได้ในหลายจังหวัด
โดยเฉพะในจังหวัดชลบุรี ระนอง
กระบี่ เป็นต้น
ซึ่งส่วนใหญ่จะพัฒนาในรูปของนิคมสหกรณ์การประมง
และการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำบริเวณชายฝั่ง
การสร้างสถานที่ศึกษา
ด่านศุลกากร
ตลอดจนการถมขยะมูลฝอย
อย่างไรก็ตามพื้นที่ป่าชายเลนที่ใช้ในกิจการเหล่านี้
นับตั้งแต่ในอดีตมามีเนื้อที่ค่อนข้างสูงพอสมควร
และในอนาคตจะมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น
5)
การสร้างท่าเทียบเรือ
การสร้างท่าเทียบเรือในป่าชายเลนจะมีโครงการขยายมากขึ้นในอนาคต
ในท้องที่จังหวัดบริเวณชายฝั่งทะเล
การสร้างท่าเรือในบริเวณป่าชายเลนเท่าที่ทำมาแล้ว
คือในจังหวัดกระบี่
นครศรีธรรมราช พังงา และสตูล
6)
การสร้างถนนและสายส่งไฟฟ้า
การสร้างถนนในพื้นที่ป่าชายเลน
ส่วนใหญ่จะตัดถนนจากเมืองไปสู่ท่าเทียบเรือ
หรือโรงงานอุตสาหกรรม
ในบริเวณชายฝั่งติดทะเลและแม่น้ำ
การสร้างถนนในพื้นที่ป่าชายเลนมีน้อย
เนื่องจากสภาพดินป่าชายเลนมีความอ่อนตัวมาก
ยกเว้นพื้นที่ที่มี
ความจำเป็นจริงๆ เท่านั้น
สำหรับการสร้างสายส่งไฟฟ้าในบริเวณพื้นที่ป่าชายเลน
มีในบางจังหวัด เช่น ภูเก็ต
และสุราษฎร์ธานี เป็นต้น
7)
การอุตสาหกรรมและโรงงานไฟฟ้า
โรงงานอุตสาหกรรมส่วนใหญ่จะเป็นโรงงานอุตสาหกรรมต่อเนื่องจากกิจกรรมประมง
เช่น โรงงาน ทำกุ้งแห้ง
และโรงงานปลาป่น
ซึ่งมีอยู่หลายจังหวัด
รวมทั้งโรงงานอุตสาหกรรมประเภทอื่นๆ
บ้างแต่เป็นจำนวนน้อย เช่น
โรงงานประเภทต่างๆ
ในจังหวัดสมุทรปราการ
ส่วนพื้นที่ป่าชายเลนที่นำมาสร้างโรงงานไฟฟ้านั้น
มีอยู่แหล่งเดียวในปัจจุบัน คือ
จังหวัดนครศรีธรรมราช
8)
การขุดลอกร่องน้ำ
การขุดลอกร่องน้ำ
แม้จะไม้ได้กระทำในพื้นที่ป่าชายเลนโดยตรง
แต่ในบริเวณเส้นทางเดินเรือ
หรือร่องน้ำที่ผ่าน ป่าชายเลน
เมื่อมีการขุดร่องน้ำเรือขุดจุพ่นดินเลน
หรือทรายที่ขุดลอกจากบริเวณท้องน้ำลงไปในพื้นที่ป่าชายเลน
กิจกรรมประเภทนี้มีน้อยมาก
แต่สามารถพบในจังหวัดสตูล พังงา
และระนอง เป็นต้น
9)
การเปลี่ยนแปลงพื้นที่ป่าชายเลนเพื่อทำนาเกลือ
ได้ดำเนินการอย่างกว้างขวาง
โดยเฉพาะในจังหวัดสมุทรสาคร
สมุทรสงคราม และสมุทรปราการ
พื้นที่ป่าชายเลนที่ถูกทำลายเพื่อกิจกรรมทำนาเกลือมีค่อนข้างมาก
คือ มีพื้นที่ประมาณ 66,000 ไร่ หรือ 6.2%
ของพื้นที่การใช้ประโยชน์ป่าชายเลนทั้งหมด
10)
การตัดไม้เกินกำลังการผลิตของป่า
เนื่องจากในปัจจุบันนี้
มีความต้องการใช้ถ่านและฟืนเป็นจำนวนมาก
และประกอบกับมีการเผาถ่าน
ที่ผิดกฎหมายเป็นจำนวนมากเช่นเดียวกัน
จึงทำให้มีการตัดไม้ป่าชายเลนผิดกฎหมายมากขึ้นจนเกินกำลังผลิตของป่า
ทำให้ป่าชายเลนหลายแห่ง
เสื่อมสภาพลงและมีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ
นอกจากนี้การที่กิจกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจบริเวณป่าชายฝั่งทะเล
ได้ก่อให้เกิดผลเสียหายต่อป่าชายเลนทั้งพื้นที่
และระบบนิเวศเป็นจำนวน
มากขึ้นทุกปี
เกิดจากสาเหตุปัจจัยสำคัญร่วมกันหลายประการ
คือ
1.
การเพิ่มของประชากร
2.
ที่ดินป่าชายเลนส่วนใหญ่ของประเทศ
มีสถานะเป็นป่าสงวนแห่งชาติ
3.
รัฐยังไม่มีการกำหนดนโยบายและแผนปฏิบัติการเกี่ยวกับการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าชายเลนที่ชัดเจน
4.
กฎหมายและระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์พื้นที่ป่าชายเลน
ยังไม่รัดกุมเพียงพอและบทลงโทษยังไม่รุนแรงเท่าที่ควร
5.
จำนวนเจ้าหน้าที่ที่ทำการควบคุมดูแลพื้นที่ป่าชายเลน
ไม่สมดุลกับเนื้อที่ป่าชายเลนที่อยู่ในความรับผิดชอบจนทำให้ไม่อาจดูแลได้ทั่วถึง
6.
ความรู้ความเข้าใจ
เกี่ยวกับป่าชายเลนยังไม่เพียงพอ
การอนุรักษ์และป้องกันรักษาป่าชายเลน
กรมป่าไม้กำหนดมาตรการในการอนุรักษ์และป้องกันรักษาป่าชายเลน
โดยได้มีการดำเนินการในด้านต่างๆ
ไปแล้ว ดังนี้
1)
ดำเนินการจัดทำเครื่องหมายแสดงแนวเขตการใช้ประโยชน์ที่ดินป่าชายเลน
ตามการจำแนกเขตการใช้ประโยชน์ที่ดิน
ในพื้นที่ป่าชายเลนในประเทศไทย
ที่ได้จำแนกออกเป็น 3 เขต คือ
เขตอนุรักษ์ เขตเศรษฐกิจ ก.
เขตเศรษฐกิจ ข.
โดยได้ทำการปักหลัก
หมายแนวเขตตามเป้าหมายไปแล้ว
จำนวน 2,670 กิโลเมตร
2)
ดำเนินการปรับปรุงประสิทธิภาพของหน่วยจัดการป่าชายเลนที่มีอยู่เดิม
จำนวน 34 หน่วย
และได้จัดตั้งหน่วยจัดการป่าชายเลน
เพิ่มขึ้นอีก 6 หน่วย
เพื่อให้สามารถปฏิบัติงานด้านการป้องกันและปราบปราม
การบุกรุกพื้นที่ป่าชายเลนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ตลอดจน ตรวจสอบและ
ควบคุมให้ผู้รับสัมปทานป่าชายเลน
ดำเนินการตามเงื่อนไขสัมปทานป่าชายเลนโดยเคร่งครัด
3)
กรมป่าไม้ได้ร่วมมือกับกองทัพเรือ
กรมประมง
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการป้องกันการบุกรุกพื้นที่ป่าชายเลน
4)
ดำเนินการจัดตั้งศูนย์ผลิตเมล็ดพันธุ์ไม้ป่าชายเลน
จำนวน 4 ศูนย์
เพื่อดำเนินการเพาะชำกล้าไม้
และจัดทำแหล่งผลิตเมล็ดพันธุ์ไม้
ป่าชายเลน
โดยมีวัตถุประสงค์ในการสนับสนุนการปลูกฟื้นฟูสภาพป่าชายเลน
และแจกจ่ายกล้าไม้ให้กับประชาชนทั่วไป
ในการร่วมกันปลูกป่า
5)
ดำเนินการประชาสัมพันธ์และรณรงค์
ในการอนุรักษ์และป้องกันรักษาป่าชายเลน
โดยการจัดทำแผ่นพับ โปสเตอร์
เอกสารเผยแพร่
จัดนิทรรศการและประชาสัมพันธ์
ให้ประชาชนร่วมฟื้นฟูป่าชายเลน
เนื่องในโอกาสวันสำคัญต่าง ๆ
นอกจากนี้ กรมป่าไม้ยังส่งเสริมให้มีการศึกษาวิจัยในด้านต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับป่าชายเลน เพื่อนำผลการศึกษาวิจัยที่ได้มาใช้ในการจัดการ และพัฒนาพื้นที่ป่าชายเลนให้มีความอุดมสมบูรณ์ และเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติอย่างถาวรสืบต่อไป