ไฟป่าอันตรายโดย ชาวป่า (แม่สะเรียง)
ขณะนี้เป็นเวลาที่ไฟป่ากำลังเกิดขึ้นทั่วไปทุกขุนเขาในเขตภาคเหนือ สาเหตุมาจากการจุดไฟเล่นเพื่อสนุก และการเผาไร่เลื่อนลอยของชาวเขา ถ้าท่านมาจากเชียงใหม่ จะเห็นไฟไหม้ป่าตั้งแต่อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ ไปอำเภอแม่สะเรียง และทั่วขุนเขาในเขตจังหวัดแม่ฮ่อนสอน จนบางครั้งเครื่องบินการบินไทยไม่สามารถเข้าไปแม่ฮ่อนสอนได้การตัดไม้พันท่อน ความเสียหายยังไม่ถึง 1 ในล้านของไฟป่า ผืนแผ่นดินที่ร้อนระอุ สัตว์ใหญ่สัตว์น้อยแม้กระทั่งอยู่ในรูก็ตายหมด แม่น้ำแห้งขอด ปูปลาและสัตว์น้ำตามธรรมชาติตายหมด ไม่เหลือให้เห็น อีกต่อไป อยากกระตุ้นให้เจ้าหน้าที่ป่าไม้ทำงานในเชิงรุกบ้าง ไม่ใช่คอยดักจับแต่บนถนนหลวงที่เขา ทำเสร็จมาแล้วขนมา คือเข้าป่าไปดูการลักลอบถางป่าไม้ตามขุนน้ำแม่สะเรียง และที่อื่นๆ ต้นไม้ขนาดถังน้ำมัน 200 ลิตร ถูกโค่นล้มระเนระนาด เพื่อทำไร่เลื่อนลอยแห่งใหม่ เนื่องจากชาวเขาไม่มีการคุมกำเนิดมีลูกมาก ที่ทำกินเดิมไม่พอทำกิน จึงต้องขยาย ไร่ไปเรื่อยๆ
เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ครับ อยากให้รัฐบาลสั่งการให้กระทรวงมหาดไทย ศึกษาธิการ กรมป่าไม้ กรมประชาสัมพันธ์ ช่วยกันรณรงค์ ต่อต้านไฟป่า ด้วยการอ้างถึงบาปที่สัตว์ น้อยใหญ่ ที่ต้องตายจากไฟป่าและพวกนักประท้วงทั้งหลาย (NGO) เรื่องที่รัฐบาลเขาวิเคราะห์แล้ว มีผลได้มากกว่า จะลงมือทำก็ประท้วงกันไปทุกเรื่อง เช่นการทำกระเช้าลอยฟ้าขึ้นดอยสุเทพ เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว ในประเทศ ก็ประท้วงว่าจะต้องมีการตัดต้นไม้เพื่อตั้งเสากระเช้า ทั้งที่เขาพยายามจะตัดต้นไม้ให้น้อยที่สุด ทีการทำไร่เลื่อนลอย การเผาป่าซึ่งสร้างความเสียหายมากกว่ากันเป็นล้านเท่า กลับไม่สนใจ น่าจะไปส่งเสริมชีวิตชาวเขา ให้รู้จักการวางแผนครอบครัว ส่งเสริมอาชีพ ไม่ทำลายธรรมชาตทั่วทุกขุนเขามีเส้นทางเดินรถที่พ่อค้าไม้ทำไว้ ปัจจุบันก็ยังใช้อยู่ เช่นเส้นทาง ดอยแม่อูคอ – อ.แม่แจ่ม – ดอยอินทนนท์ – จอมทอง เชียงใหม่ สามารถทำเป็นเส้นทางท่องเที่ยวชมธรรมชาติ ได้ดีที่สุดทำไมไม่คิคกันบ้าง เจ้าหน้าที่ อส.ประจำอำเภอ เป็นคนที่ อยากทำงานมาก แต่ไม่มีงานให้เขาทำ มีแต่ให้ไปจัดโต๊ะงานเลี้ยง หรือรับส่งลูกเมีย นายอำเภอควรฝึกภาษาต่างประเทศให้เขาแล้ว ให้ทำหน้าที่คุ้มครองนักท่องเที่ยวที่ไปเที่ยวตามหมู่บ้านชาวเขา ซึ่งทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศอยากไปพักแลกเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง และชาวบ้านจะได้มีรายได้จากการท่องเที่ยวตลอดปี ไม่ต้องทำลายป่า.
ที่มา: จากหนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ ฉบับวันอังคารที่ 19 กุมภาพันธ์ 2545