ไมคอร์ไรซา (mycorrhiza)

คำว่า "mycorrhiza" (พหูพจน์ : mycorrhizas หรือ mycorrhizae) มาจากภาษากรีกว่า Mykes แปลว่า Mushroom หรือ fungus รวมกับ คำว่า rhiza แปลว่า root ดังนั้น ไมคอร์ไรซา (mycorrhiza) จึงเป็นความสัมพันธ์ระหว่างรากับระบบรากของพืชชั้นสูง โดยรานั้นต้องไม่ใช่ราที่เป็นสาเหตุของโรคพืช ส่วนรากพืชต้องเป็นรากที่มีอายุน้อย (Frank, 1885; Mikola, 1973, Hawksworth และคณะ, 1995) การอยู่ร่วมกันนี้เป็นการอยู่ร่วมกันแบบพึ่งพาอาศัยกัน เอื้ออำนวยประโยชน์ซึ่งกันและกัน (symbiosis) เซลล์ของรากพืชและราสามารถถ่ายทอดอาหารให้กันและกันได้ ต้นพืชได้รับน้ำและแร่ธาตุที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตจากรา ส่วนราได้รับสารอาหารจากต้นพืชผ่านมาทางระบบราก เช่น พวกแป้ง น้ำตาล โปรตีน และวิตามินต่าง ๆ (Hacskaylo, 1971) นอกจากนี้ราไมคอร์ไรซายังช่วยป้องกันรากพืชจากการเข้าทำลายของเชื้อโรคด้วย (Marx, 1973) สปอร์ของราไมคอร์ไรซาจะมีอยู่ทั่ว ๆ ไปในดิน (soil bome fungi)

ชนิดของไมคอร์ไรซา

Harley และ Smith (1983) ได้รวบรวมรายงานเกี่ยวกับไมคอร์ไรซา และจัดแบ่งไมคอร์ไรซาออกเป็น 7 กลุ่มได้แก่ ectomycorrhiza, endomycorrhiza (vesicular-arbuscular mycorrhiza), ectendomycorrhiza, ericoid mycorrhiza, arbutoid mycorrhiza, monotropoid mycorrhiza และ orchid mycorrhiza
1. Ectomycorrhiza เป็นไมคอร์ไรซาที่มีเส้นใยของราเจริญสานตัวกันเป็นแผ่น (fungal sheath) หรือเป็นเยื่อหุ้ม (mantle) อยู่รอบ ๆ ราก มีความหนาประมาณ 20-100 ไมครอน และมีน้ำหนักแห้งคิดเป็น 25-40 % ของน้ำหนักแห้งของรากทั้งหมด เส้นใยบางส่วนบริเวณนี้จะเจริญเข้าไปอยู่ในช่องว่างระหว่างเซลล์ชั้น epidermis กับเซลล์ชั้น cortex แล้วเส้นใยจะเจริญสานกันเป็นตาข่ายอยู่รอบ cortical cell เรียกว่า Hartig net (Atkinson, 1975; Warcup, 1980)
ราเอคโตไมคอร์ไรซามีมากกว่า 5,000 ชนิด และเจริญร่วมกับพืชหลายชนิดในเขตภูมิอากาศต่าง ๆ ทั่วโลก ส่วนใหญ่ราเอคโตไมคอร์ไรซาเป็นราชั้นสูง จัดจำแนกอยู่ในกลุ่ม Basidiomycetes, Gasteromycetes, Ascomycetes และ Phycomycetes (Harley และ Smith, 1983)
2. Endomycorrhiza เป็นไมคอร์ไรซาที่มีเส้นใยเจริญอยู่รอบ ๆ รากพืชและบางส่วนของเส้นใยเจริญเข้าไปในเซลล์ของรากพืช (intracellular) และอาจเข้าไปอยู่ระหว่างเซลล์ (intercellular) ของรากพืชในชั้น cortex เส้นใยที่เจตริญอยู่รอบ ๆ รากพืชอยู่กันอย่างหลวม ๆ หรือยื่นออกจากรากพืชสู่ดินประมาณ 1 ซ.ม. ส่วนของเส้นใยราที่เจริญเข้าไปในรากพืชจะเจริญอยู่ในชั้น primary cortex เท่านั้น และนิยมเรียกชื่อกันในปัจจุบันว่า ราเวสสิคูล่าร์-อาร์บัสคูลาร์ ไมคอร์ไรซา (vesicular-arbuscular mycorrhiza : VAM) นอกจากเส้นใยในรากแล้ว ราเวสสิคูลาร์-อาร์บัสคูล่าร์ ไมคอร์ไรซานี้ ยังสร้างโครงสร้างที่ไม่มีใครเหมือนในเนื้อเยื่อราก 2 โครงสร้าง คือ โครงสร้างเวสสิเคิล (vesicle) และ อาร์บัสคูล (arbuscule) โดยเส้นใยจะเจริญเข้าไปอยู่ในเซลลชั้น cortex หรืออยู่ระหว่างเซล์ชั้น cortex ไม่เข้าไปในชั้น meristematic cells หรือชั้น endodermis เส้นใยอาจขดเป็นวงในเซลล์รากหรืออาจจะมีการแตกแขนงแบบ dichotomous จนเกือบเต็มเซลล์ ทำให้มีลักษณะคล้ายกะหล่ำดอกหรือคล้ายต้นไม้ (tree-like) อยู่ในเซลล์พืชเราเรียกโครงสร้างนั้นว่า อาร์บัสคูล (arbuscule) ซึ่งจะเจริญอยู่ระยะหนึ่งและสลายไป อาจเกิดจากการย่อยสลายของเซลล์พืชก็เป็นได้ โครงสร้าง arbuscule นั้นเป็นโครงสร้างซึ่งราใช้สะสมแร่ธาตุอาหารโดยเฉพาะฟอสฟอรัส ซึ่งเมื่อพืชย่อยสลายโครงสร้างนี้ สารอาหารสามารถถ่ายเทไปให้กับพืชได้ การถ่ายเทสารอาหารนั้นอาจเกิดจากการแลกเปลี่ยนสารอาหารที่บริเวณผิวหน้าของ arbuscule ที่สัมผัสกับเซลล์ได้ ราจะได้รับสารคาร์โบไฮเดรตจากพืช โครงสร้าง arbuscule นี้จะมีอายุประมาณ 2-14 วันก็จะสลายไป เมื่อโครงสร้าง arbuscule สลายไป ราก็จะมีการสร้างโครงสร้างซึ่งมีรูปร่างกลมหรือรูปไข่ ลักษณะคล้ายถุง ผนังหนา เกิดที่ปลายของเส้นใย (terminal) หรือตรงกลางเส้นใย (intercalary) ซึ่งโป่งบวมออมา ภายในมีหยดไขมันสีเหลืองบรรจุอยู่ เป็นโครงสร้างที่ใช้ในการเก็บสะสมอาหารของรา และเป็นโครงสร้างที่ทนต่อสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสมได้ดี เรียกโครงสร้างนี้ว่า เวสสิเคิล (vesicle) เนื่องจากโครงสร้างทั้งสองนี้เป็นโครงสร้างที่ไม่พบในราชนิดใด ๆ จึงทำให้นักวิจัยใช้โครงสร้างนี้ในการบ่งชี้ว่ามีราชนิดนี้เข้าอยู่อาศัยในพืชอาศัยหรือไม่ รากของพืชที่มีราอาศัยร่วมอยู่ด้วยสามารถเจริญเติบโตได้ตามปกติ และไม่มีการเปลี่ยนแปลงลักษณะทางกายภาพ แต่รากพืชบางชนิดอาจพบการเปลี่ยนสีเป็นสีเหลืองอ่อน และไม่มีรากขน ซึ่งสีเหลืองนี้จะจางหายไปเมื่อถูกแสงสว่างและความเข้มของสีขึ้นอยู่กับปริมาณการเข้าสู่รากของรา (Harley และ Smith, 1983)
3. Ectendomycorrhiza หรือ Pseudomycorrhiza เป็นไมคอร์ไรซาที่มีลักษณะอยู่ระหว่าง ectomycorrhiza และ endomycorrhiza อาจพบเส้นใยของราเจริญเกาะกันอยู่อย่างหลวม ๆ รอบ ๆ รากพืชหรือไม่พบเลย มีเส้นใยบางส่วนเจริญเข้าสู่เซลล์พืชแล้วขดเป็นวง (coil) อยู่ภายในเซลล์ บางครั้งพบเส้นใยเจริญเข้าไปอยู่ในช่องว่างระหว่างเซลล์ในชั้น cortex และสร้าง Hartig net ราที่มีการดำรงชีวิตแบบนี้เส้นใยจะมีผนังกั้น มีสีเข้ม จัดอยู่ใน class Basidiomycetes และ Ascomycetes บางครั้งพบการสร้าง chlamydospore อยู่ภายในเส้นใยที่โป่งบวม ไม่พบ conidia และโครงสร้างสืบพันธุ์อื่น ๆ ตัวอย่างราได้แก่ Rhizoctonia sylvestris, Phiolocephala dimorphospora พืชอาศัยของราไม้แก่ สน (pine), spruce, beech ซึ่งเป็นพืชในกลุ่ม Gymnospermae และ Angiospermae (Mikola, 1965; Harley และ Smith, 1983) ectendomycorrhiza มักจะพบ ectomycorrhiza เจริญขึ้นแทน (Wilcox, 1971; Thomas และ Jackson, 1979)
4. Ericoid mycorrhiza เป็นไมคอร์ไรซาของพืชใน order Ericales ลักษณะสำคัญของ ericoid mycorrhiza คือ เส้นใยของราชนิดนี้จะมีผนังกั้น บางชนิดเป็นราใน class Ascomycetes เช่น Pezizella ericae บางชนิดเป็นราใน class Basidiomycetes เช่น Clavaria ราจะเจริญเข้าสู่เซลล์พืชแล้วม้วนขดเป็นวง (coil) อยู่ในเซลล์ของ cortex ไม่สร้าง sheath หรือ Hartig ne พืชอาศัยเป็นไม้พุ่มหรือไม้ยืนต้นขนาดเล็กใน order Ericales family Ericaceae (sub-family Ericoideae, Vaccinioideae และ Rhododendroideae) family Epacridaceae และ family Empetraceae (Hartey และ Smith, 1983) เป็นไมคอร์ไรซาที่มีความสำคัญต่อพืชและระบบนิเวศน์เช่นเดียวกับไมคอร์ไรซาชนิดอื่น แต่ที่สำคัญ คือ ericoid mycorrhiza มีบทบาทสำคัญมากสำหรับพืชที่ปลูกในดินที่มีความเป็นกรดสูง Read (1978) ได้ศึกษาผลของ ericoid mycorrhiza ต่อการเจริญของ Erica baurea พืชประจำถิ่นอาฟริกาใต้ที่ออกดอกในฤดูแล้ง พบว่า E.baurea ที่มี ericoid mycorrhiza อยู่ด้วยมีความสามารถในการดูดธาตุในโตรเจน และสะสมไว้ในฤดูสืบพันธุ์ได้สูงกว่าพืชที่ไ่ม่มีไมคอร์ไรซา
5. Arbutoid mycorrhiza เป็นไมคอร์ไรซาของพืชใน order Ericales อีกชนิดหนึ่งโดยราที่อยู่ร่วมกับรากจะสร้างเส้นใยสานกันเป้นแผ่น (sheath) ล้อมรอบราก แล้วเส้นใยบางส่วนเจริญเข้าไปอยู่ระหว่างเซลล์ในชั้น cortex สร้าง Hartig net และมีเส้นใยเล็ก ๆ งอกแทงเข้าสู่เซลล์แล้วเจริญขดม้วนเป็นวง (coil) อยู่ภายในเซลล์ มักพบในต้นไม้และไม้พุ่ม (shrub) ที่โตเต็มที่แล้ว ราที่มีความสัมพันธ์กับพืชแบบนี้เป็นราใน class Basidiomycetes ซึ่งบางครั้งอาจจะมีความสัมพันธ์แบบ ectomycorrhiza หรือ ectendomycorrhiza กับพืชอาศัยชนิดอื่น เช่น Cortinarius zakii ซึ่งเป็น arbutoid mycorrhiza กับพืช Arbutus menziesii และเป็น ectomycorrhiza กับพืช Pseudotsuga douglasii และกับพืช Abies grandis เป็นต้น (Zak, 1973, 1974; Duddridge, 1980)
6. Montropoid mycorrhiza เป็นไมคอร์ไรซาที่พบในพืช family Monotropaceae ซึ่งเป็นพืชที่ไม่ม่คลอโรฟิล มีระบบรากเป็นรากแก้ว รากแขนงและรากฝอย บริเวณรากแขนงจะพบเส้นใยของราสานกัน หนา 2-3 ชั้น เป็นแผ่น (sheath) และมีเส้นใยสานกันเป็นตาข่าย (Hartig net) ล้อมรอบเซลล์ชั้นนอกสุด (epidermis) และชั้น cortex ของพืช นอกเนือไปจากนี้เส้นใยของราบางส่วนแทงเข้าไปในเซลล์ของ epidermis แล้วเจริญเป็น haustoria ที่ไม่แตกแขนง พืชอาศัยที่มีการศึกษากันมาก คือ Monotropa hypopytis มักพบไมคอร์ไรซาชนิดนี้เจริญอยู่ร่วมกับไม้ป่าหลายชนิด เช่น บีช (beech), สน (pine) และ conifers ชนิดอื่น ๆ ราที่เป็นไมคอร์ไรซาชนิดนี้เป็นราใน class Basidiomycetes ตัวอย่างเช่น Boletus (Harley และ Smith, 1983)
7. Orchid mycorrhiza เป็นไมคอร์ไรซาที่พบในพืช family Orchidaceae หรือกล้วยไม้ชนิดต่าง ๆ มีความสัมพันธ์กับราใน class Basidiomycetes บางชนิด ที่สามารถย่อยเซลลูโลส (cellulose) และลิกนิน (lignin) ได้ ไมคอร์ไรซาชนิดนี้มีความสำคัญในการกระตุ้นการงอกของเมล็ดพืช และให้สารอาหารที่ต้นกล้าพืชต้องการในการเจริญเติบโต (Warcup, 1975)
 

 
 
 
 
 
 
 



 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

การวิจัยเกี่ยวกับราไมคอร์ไรซาทางด้านป่าไม้ในประเทศไทย

ไมคอร์ไรซามีประโยชน์อย่างยิ่งต่อการช่วยป้องกันการติดเชื้อโรคทางระบบรากของกล้าไม้และต้นไม้ ช่วยเพิ่มพื้นที่ผิวของรากทำให้มีประสิทธิภาพในการดูดชับน้ำและอาหารให้แก่ต้นไม้มากกว่าปกติ ช่วยทำให้เกิดการหมุนเวียนของธาตุอาหารในดินดีขึ้น ช่วยเปลี่ยนแปลงแร่ธาตุอาหารในดินจากสภาพที่ต้นไม้นำไปใช้ประโยชน์ไม่ได้ให้กลายสภาพที่ต้นไม้นำไปใช้ประโยชน์ได้ ข่วยทำให้ระบบรากของต้นไม้มีความแข็งแรงมีอายุยืนยาวนาน ทนทานต่อสภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงแห้งแล้ง ความรุนแรงของสภาพดินฟ้าอากาศ
เช่น ร้อนจัด หนาวจัด สารพิษในดิน ความเป็นกรดหรือด่างที่มากหรือน้อยเกินไปเป็นต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสามารถช่วยทำให้กล้าไม้มีอัตราการรอดตายสูงและช่วยเร่งให้ต้นไม้มีอัตราเจริญเติบโตสูงถึง 1-5 เท่าจากอัตราปกติ
ได้มีการศึกษาไมคอร์ไรซากันอย่างกว้างขวางพบว่าเชื้อราไมคอร์ไรซาจะมีมากในดินป่าธรรมชาติซึ่งมีพันธุ์ไม้ขึ้นอยู่หนาแน่นไม่ถูกรบกวน ส่วนในป่าท้องที่เสื่อมโทรมถูกแผ้วถางทำไร่ เลื่อนลอยนาน ๆ เชื้อราจะถูกชะล้างลอยไปตามหน้าดินที่ถูกน้ำฝนชะล้างไหลลอยไปตามลำห้วย ลำธาร และแม่น้ำต่าง ๆ จึงทำให้ท้องที่ป่าแหล่งเสื่อมโทรมขาดแคลนเชื้อราไมคอร์ไรซาได้
อนิวรรตและธีรวัฒน์ (2525) ได้ทำการสำรวจและศึกษาเอคโตไมคอร์ไรซาในระบบนิเวศน์ป่าดิบแล้ง บริเวณสถานีวิจัยสิ่งแวดล้อมสะแกราช ต. วังน้ำเขียว อ. ปักธงชัย จ. นครราชสีมา พบพันธุ์ไม้จำนวน 4 วงศ์ 6 สกุล รวม 8 ชนิด หรือ ประมาณ 5.71% เป็นเอคโตไมคอร์ไรซา ได้แก่ ไม้ วงศ์ Caesalpiniaceae : มะค่าโมง, วงศ์ Dipterocarpaceae : ยางขาว, ยางปาย, ตะเคียนหิน, ตะเคียนทอง, เคี่ยมคะนอง, วงศ์ Fagaceae : ก่อขี้หมู และวงศ์ Rubiaceae : คัดเค้า มีพันธุ์ไม้จำนวน 4 วงศ์ 4 สกุล รวม 4 ชนิด หรือประมาณ 2.85% เป็นเอคเทนโดไมคอร์ไรซา มีพันธุ์ไม้จำนวน 42 วงศ์ 89 สกุล 113 ชนิด หรือประมาณ 80.71% เป็นเอ็นโดไมคอร์ไรซา ผลการสำรวจชนิดของเห็ดราไมคอร์ไรซาที่น่าจะมีศักยภาพเป็นเอคโตไมคอร์ไรซา ได้แก่ เห็ดราในวงศ์ Russulaceae : เห็ดไคลหลังเขียว, เห็ดน้ำแป้ง, เห็ดไคลหลังขาว, เห็ดน้ำหมาก และ เห็ดหาด, วงศ์ Boletaceae : เห็ดน้ำผึ้ง, วงศ์ Cortinariaceae : เห็ดขี้เถ้า และวงศ์ Sclerodermataceae : เห็ดเผาะ
สมบูรณ์ (2532) ทำการศึกษาผลกระทบของการเพาะเชื้อเอคโตไมคอร์ไรซา Pisolithus tinctorius (Pers.) Coker & Couch ต่อการเจริญเติบโตและการดูดซับธาตุอาหารของกล้าไม้ยูคาลิปตัส คามาลดูเลนซิส และสนคาริเบียที่ปลูกบนมูลดินเหมืองแร่ พบว่า เมื่อกล้าไม้มีอายุ 6 เดือน กล้าไม้ที่ปลูกราเอคโตไมคอร์ไรซามีการเจริญเติบโตด้านความสูง เส้นผ่าศูนย์กลางที่ระดับคอราก มวลชีวภาพน้ำหนักแห้ง ปริมาณธาตุฟอสฟอรัสและแมกนีเซียม สูงกว่ากล้าไม้ที่ไม่ได้ปลูกราเอคโตไมคอร์ไรซาอย่างมีนัยสำคัญ
ธีระวัฒน์ (2533) ได้รายงานผลการทดลองการปลูกราเอคโตไมคอร์ไรซา P.tinctorius ให้กับกล้าไม้สนสามใบ และสนคาริเบีย พบว่าการเจริญเติบโตทางเส้นผ่านศูนย์กลางที่ระดับคอรากมวลชีวภาพน้ำหนักแห้ง ปริมาณการดูดซับธาตุฟอสฟอรัสในส่วนของใบ ลำต้น และราก มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญระหว่างทรีทเมนต์ โดยที่ทรีทเมนต์ที่ใส่ดินเชื้อให้ผลดีที่สุด รองลงมาได้แก่ทรีทเมนต์ที่ใส่สปอร์ ทรีทเมนต์ที่ใส่เส้นใย และทรีทเมนต์ที่ไม่ได้ปลูกราเอคโตไมคอร์ไรซาตามลำดับ
การวิจัยเกี่ยวกับราเวสสิคูลาร์-อาร์บัสคูลาร์ ไมคอร์ไรซาทางด้านป่าไม้ในประเทศไทยได้เริ่มดำเนินการมาเมื่อประมาณปี พ.ศ.2526 หรือประมาณ 15 ปีมานี้เอง ส่วนใหญ่เป็นการสำรวจความหลากหลายของชนิดพันธุ์ และการกระจายพันธุ์ รวมถึงความสัมพันธ์กับพันธุ์ไม้ชนิดต่าง ๆ พบว่าประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ของพันธุ์ไม้ป่ามีความสัมพันธ์กับราเวสสิคูลาร์-อาร์บัสคูลาร์ ไมคอร์ไรซา
การสำรวจความหลากหลายและการจำแนกชนิดราเวสสิคูลาร์-อาร์บัสคูลาร์ ไมคอร์ไรซาในระบบนิเวศป่าเต็งรัง ป่าดิบแล้ง และป่าเบญจพรรณ หรือ ป่าผสมผลัดใบของประเทศไทย เปรียบเทียบกับชนิดพันธุ์ของโลกที่พบ ปรากฎว่าในระบบนิเวศป่าไม้ของไทยมีประมาณ 47 ชนิด จากชนิดพันธุ์ของราเวสสิคูลาร์-อาร์บัสคูลาร์ ไมคอร์ไรซา ที่รู้จักชื่อแล้วในโลกนี้ประมาณ 167 ชนิด (Hawksworth และคณะ,1995; Schenck และ Perez, 1988) หรือคิดเป็น 28.1 เปอร์เซ็นต์ของที่โลกรู้จัด สกุล (genus) ที่พบมากที่สุดได้แก่ สกุล Glomus มีประมาณ 20 ชนิด หรือ 23.6 เปอร์เซ็นต์ของโลก รองลงไปได้แก่สกุล Acaulospora 8 ฃนิด (24.2 เปอร์เซ็นต์ของโลก) Scutellospora 8 ชนิด (27.6 เปอร์เซ็นต์ของโลก) Sclerocystis 6 ชนิด (75.0 เปอร์เซ็นต์ของโลก) Gigaspora 3 ชนิด (37.5 เปอร์เซ็นต์ของโลก) และ Entrophospora 2 ชนิด (50.0 เปอร์เซ็นต์ของโลก) (Chalermpongse, 1987;Yantasarth และ Poonsawat, 1996)
ในระบบนิเวศป่าไม้ของไทยที่สำรวจพบว่ามี 47 ชนิดนั้น พบในระบบนิเวศป่าเต็งรัง 28 ชนิด ส่วนใหญ่เป็นสกุล Glomus คือพบถึง 14 ชนิด รองลงไปได้แก่สกุล Scutellospora 6 ชนิด Acaulospora 3 ชนิด Entrophospora 2 ชนิด Gigaspora 2 ชนิด และสกุล Sclerocystis 1 ชนิด ส่วนระบบนิเวศป่าไม้ที่มีชนิดพันธุ์ของราเวสสิคูลาร์-อาร์บัสคูลาร์ ไมคอร์ไรซารองลงไป ได้แก่ ระบบนิเวศป่าดิบแล้ง มีทั้งสิ้น 25 ชนิด ได้แก่ สกุล Glomus 9 ชนิด Acaulospora 8 ชนิด Sclerocystis 3 ชนิด Scutellospora 3 ชนิด Entrophospora 1 ชนิด และ Gigaspora 1 ชนิด สำหรับระบบนิเวศป่าเบญจพรรณหรือป่าผสมผลัดใบ มีราเวสสิคูลาร์-อาร์บัสคูลาร์ ไมคอร์ไรซาน้อยที่สุดรวม 22 ชนิด ได้แก่สกุล Glomus 8 ชนิด Sclerocystis 6 ชนิด Scutellospora 3 ชนิด Acaulospora 2 ชนิด Gigaspora 2 ชนิด และสกุล Entrophospora มีเพียง 1 ชนิดเท่านั้น
Yantasarth และ Poonsawat (1996) ได้ทำการศึกษาในแปลงทดลองบริเวณสถานีวิจัยลุ่มน้ำแม่กลอง อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี โดยแบ่งพื้นที่ทดลองออกเป็น 5 แปลงทดลอง รายงานว่าในระบบนิเวศป่าไม้ที่มีหญ้าขึ้นปกคลุมพื้นดินจำนวนมาก พบราเวสสิคูลาร์-อาร์บัสคูลาร์ ไมคอร์ไรซา ค่อนข้างสูงและปริมาณมาก และยังพบด้วยว่า ในแปลงทดลองที่เป็นทุ่งหญ้ามีปริมาณของรา เวสสิคูลาร์-อาร์บัสคูลาร์ ไมคอร์ไรซาถึง 32 เปอร์เซ็นต์ ของปริมาณทั้งหมด รองลงไปได้แก่ แปลงสวนสักอายุน้อย (young teak plantation) 26 เปอร์เซ็นต์ ป่าธรรมชาติ 22 เปอร์เซ็นต์ และสวนสักอายุมาก (old teak plantation) 18 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ ทั้งนี้เป็นเพราะหญ้ามีปริมาณของรากหาอาหารในปริมาณสูงต่อหน่วยพื้นที่เมื่อเปรียบเทียบกับป่าไม้ที่มีต้นไม้ขนาดใหญ่มาก ๆ แต่จะมีปริมาณรากหาอาหารน้อยไม่หนาแน่นเหมือนทุ่งหญ้า อย่างไรก็ดีปัจจัยแวดล้อมที่ช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตของราเวสสิคูลาร์-อาร์บัสคูลาร์ ไมคอร์ไรซา ยังขึ้นอยู่กับชนิดของพืชอาศัย (host plants) คุณสมบัติต่าง ๆ ของดิน เช่นความเป็นกรด-ด่างของดิน (soil pH) ความพรุนของดิน (soil aeration) ธาตุอาหารในดิน (soil nutrients) อุณหภูมิของดิน ปริมาณน้ำฝน ความชื้นในดิน และจุลินทรีย์ในดิน เป็นต้น
ศูนย์เพาะชำกล้าไม้ของกรมป่าไม้ ซึ่งกระจายอยู่ทั่วประเทศมากกว่า 60 แห่ง ได้มีการเสนอแนะจากสำนักวิชาการป่าไม้ให้ใช้ดินเชื้อ (soil inoculum) จากป่าธรรมชาติที่มีราไมคอร์ไรซาผสมอยู่ในดินและมีรากพืชที่มีราไมคอร์ไรซาอยู่ นำไปผสมกับดินแปลงเพาะในอัตราส่วน 10-20 เปอร์เซ็นต์ พบว่าช่วยให้กล้าไม้มีจุลินทรีย์ไมคอร์ไรซาเกิดติดกับรากต้นกล้าที่เพาะใหม่ได้เป็นอย่างดี เพราะราเวสสิคูลาร์-อาร์บัสคูลาร์ ไมคอร์ไรซา ยังไม่สามารถเพาะเลี้ยงในอาหารเทียมได้ดีเหมือนราเอคโตไมคอร์ไรซา (อนิวรรต,2540)
Ogawa (1992) ได้ทำการศึกษาการใช้ผงถ่านจากไม้ (wood charcoal) ทั้งที่กรมป่าไม้ และที่ประเทศญี่ปุ่น โดยทำการศึกษาการใช้ผงถ่านจากไม้ 3-5 เปอร์เซ็นต์ ผสมกับดินเพาะชำกล้าสัก ข้าวโพด ข้าวฟ่าง หญ้า และพืชตระกูลถั่ว ที่มีราเวสสิคูลาร์-อาร์บัสคูลาร์ ไมคอร์ไรซา ชนิด Glomus fasciculatus (Thax.senu Gerd.) Gerd. & Trappe และ Gl. mosseae (Nicol. & Gerd.) Gerd. & Trappe พบว่าจะช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตของกล้าไม้ และมีการสร้างราเวสสิคูลาร์-อาร์บัสคูลาร์ ไมคอร์ไรซของกล้าไม้ดีขึ้นกว่าปกติ
จากการรายงานการวิจัยของกิตติมา (2541) ซึ่งได้ทำการปลูกเชื้อราเวสสิคูล่าร์-อาร์บัสคูลาร์ ไมคอร์ไรซา (VAM) 6 ชนิด ให้กับกล้าสักที่ได้จากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ พบว่า กล้าสักที่ได้รับการปลูกเชื้อมีการเจริญเติบโตทางด้านความสูง เส้นผ่านศูนย์กลางที่ระดับคอราก น้ำหนักแห้งส่วนยอด น้ำหนักส่วนราก และน้ำหนักแห้งรวม มากกว่ากล้าสักที่ไม่ได้ปลูกเชื้อ อย่างมีนัยสำคัยทางสถิติ
แม้ว่าในระบบนิเวศน์วิทยาของป่าธรรมชาติชนิดต่าง ๆ ของประเทศไทยจะมีเชื้อราไมคอร์ไรซากระจายพันธุ์อยู่โดยทั่วไปก็ตาม แต่ในบางท้องที่โดยเฉพาะในท้องที่ป่าเสื่อมโทรมซึ่งถูกแผ้วถางมีการทำไม้หรือทำไร่เลื่อนลอยนาน ๆ หน้าดินถูกชะล้างให้เสื่อมสภาพไปมากคือประมาณ 40-50 % (พงษ์ศักดิ์ และคณะ, 2523) เชื้อราจะมีอยู่อย่างจำกัดหรือเกิดการขาดแคลนขึ้นได้ ฉะนั้น จึงจำเป็นอย่างยิ่งจะต้องมีการเพาะเลี้ยงเชื้อราไมคอร์ไรซาที่มีประโยชน์เหมาะสม ขยายพันธุ์แล้วนำไปปลดปล่อยและเพาะปลูกเพิ่มให้แก่กล้าไม้ก่อนนำไปปลูกสร้างเป็นสวนป่าใหม่จึงจะสามารถทำได้ ต้นไม้มีอัตราการรอดตายสูง และมีอัตราการเจริญเติบโตเร็วขึ้น แต่ถ้าต้นไม้ที่นำไปปลูกสร้างสวนป่าใหม่ ไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่เกี่ยวกับเชื้อราไมคอร์ไรซา โดยใช้วิธีคัดเลือกพันธุ์เชื้อราไมคอร์ไรซาที่มีคุณสมบัติเหมาะสม ทนทานต่อสภาพดินฟ้าอากาศที่เปลี่ยนแปลงได้ดีแล้วมักจะพบเห็นเสมอว่า ต้นกล้าหรือต้นไม้ที่นำไปปลูกใหม่จะมีอัตราการตายสูง การเจริญเติบโตเป็นไปอย่างช้าและแคระแกรน ซึ่งมีผลทำให้โครงการปลูกสร้างสวนป่าล้มเหลว และไม่ประสบผลตามเป้าหมายเท่าที่ควร ฉะนั้นจึงมีความจำเป็น อย่างยิ่งที่จะต้องศึกษาวิจัย ว่าในระบบนิเวศน์วิทยาป่าไม้ชนิดและประเภทต่าง ๆ ของเรานั้น มีพันธุ์ไม้ชนิดใดบ้างที่มีความสัมพันธ์แบบไมคอร์ไรซากับเชื้อราชนิดใดบ้าง เพื่อที่จะนำความรู้นี้ไปดำเนินการคัดเลือกพันธุ์ชนิดของเห็ดราที่เหมาะสม ไปเพาะขยายพันธุ์ปลูกกับกล้าไม้เพื่อดำเนินการปลูกสร้างสวนป่าให้ได้ผลสมความมุ่งหมายต่อไป