Mae Klong Watershed Research Station 

 
ที่ตั้ง
ภูมิอากาศ
อุทกวิทยา
ธรณีวิทยา
ปฐพีวิทยา
พืชพรรณ
 แผนที่
งานวิจัยปัจจุบัน
ผลงานวิจัย
 หัวหน้าสถานี

 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

 

 

ที่ตั้งและลักษณะภูมิประเทศ
             สถานีวิจัยลุ่มน้ำแม่กลอง  ตั้งอยู่ในเขตตำบลลิ่นถิ่น  อำเภอทองผาภูมิ  จังหวัดกาญจนบุรี ระหว่าง เส้นรุ้งที่ 14O 31/ - 14O 38/ เหนือ   และเส้นแวงที่ 98O 46/-98O 37/ ตะวันออก  อยู่ฝั่งขวา ของแม่น้ำแควน้อย  มีลุ่มน้ำลิ่นถิ่น ไหลผ่าน        พื้นที่สถานีฯ ทั้งหมดประมาณ  109  ตารางกิโลเมตร   ห่างจากจังหวัดกาญจนบุรีตามเส้นทางหลวง หมายเลข 323 สายกาญจนบุรี-ทองผาภูมิ  ประมาณ 120 กิโลเมตร   มีอาณาเขตติดต่อดังนี้ 
             ทิศเหนือ จดเขตอำเภอทองผาภูมิ
             ทิศใต้ จดเขตอำเภอไทรโยค
             ทิศตะวันออก จดเขตอำเภอศรีสวัสดิ์
             ทิศตะวันตก จดบ้านหนองบาง และโรงเรียนบ้านลิ่นถิ่น อ.ทองผาภูมิ

ลักษณะทางอุทกวิทยา
             ลุ่มน้ำลิ่นถิ่นเป็นต้นน้ำที่สำคัญของแม่น้ำแควน้อยซึ่งไหลลงสู่แม่น้ำแม่กลองอันเป็นแม่น้ำสำคัญของจังหวัด กาญจนบุรี     พื้นที่ประกอบด้วยลุ่มน้ำย่อย   5   ห้วย   ได้แก่   ห้วยนิคุฮุ    ห้วยตาทะ  ห้วยตาอื้อ  ห้วยไทเย   และ ห้วยลิ่นถิ่น มีที่ราบเพียงเล็กน้อย ส่วนใหญ่เป็นที่ราบเขาสูงจากระดับน้ำทะเล อยู่ในช่วง   100-1,000  เมตร รทก.   มีความลาดชันเฉลี่ยไม่น้อยกว่า  50  เปอร์เซ็นต์     การระบายน้ำค่อนข้างดี รูปร่างของลุ่มน้ำมีลักษณะคล้ายพัด ซึ่งประกอบด้วยลำธารเล็ก ๆ   แตกกิ่งก้านสาขาเป็นแบบ   dendritic    สามารถรองรับการไหลของน้ำฝนทั่วพื้นที่ และเป็นบริเวณกว้าง    เมื่อฝนตกการไหลของน้ำสู่ลำธารจึงเร็วมาก    แต่เนื่องจากเป็นภูเขาที่ปกคลุมด้วยไผ่   จึง สามารถชลอความเร็วของน้ำลงได้เป็นการพังทลายของดินลง   จากลักษณะทั่วไปของลุ่มน้ำลิ่นถิ่น   ซึ่งประกอบด้วย ลุ่มน้ำย่อย   จะใช้พื้นที่ลุ่มน้ำ ย่อยต่าง ๆ เป็นตัวแทนในการศึกษาวิจัย ดังนี้ 
             1. ลุ่มน้ำห้วยนิคุฮุเป็นพื้นที่ลุ่มน้ำย่อยที่ใช้เป็นตัวแทนในการศึกษาถึงสภาพการใช้ที่ดินเป็นแหล่งที่อยู่อาศัย และทำการเกษตรในที่ราบตอนบน ซึ่งเป็นพื้นที่ต้นน้ำมีพื้นที่ 31.33 ตารางกิโลเมตร พื้นที่ทำการเกษตรประมาณ  2  ตารางกิโลเมตร  พื้นที่อยู่อาศัยประมาณ 30 ไร่  ความสูงจากระดับน้ำทะเลอยู่ในช่วง  200-800 เมตร ความลาดชัน เฉลี่ย ประมาณ  30  เปอร์เซ็นต์   ความหนาแน่นของ ลำธารเท่ากับ 0.16 ความยาวของลำธารประมาณ 18  กิโล- เมตร ความยาวของลำธารต่อพื้นที่ เท่ากับ 0.57 กิโลเมตรต่อตารางกิโลเมตรในลำธารที่น้ำไหลตลอดปี     ลักษณะ พื้นที่เป็นป่าธรรมชาติในตอนบน   และมีประชาชนตั้งบ้านเรือนอยู่ประมาณ  17  ครอบครัว  ประกอบอาชีพทำการ เกษตร ปลูกข้าวโพด และ มีการเลี้ยงสัตว์ ได้แก่ วัว ควาย แพะ รวมทั้งสัตว์เลี้ยง แมว และสุนัข
             2.  ลุ่มน้ำห้วยตาทะ     เป็นพื้นที่ลุ่มน้ำย่อยที่เป็นตัวแทนในการศึกษาสภาพการใช้ที่ดินลักษณะทำไร่ เลื่อนลอย ในพื้นที่ต้นน้ำซึ่งมีพื้นที่ลุ่มน้ำ 32.27 ตารางกิโลเมตร ความสูงระดับน้ำทะเลอยู่ในช่วง  300-800   เมตร    ความลาดชันเฉลี่ยประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์  ความหนาแน่นของลำธารเท่ากับ 0.09 ความยาวของลำธาร 13   กิโล- เมตร    ความยาวของลำธารต่อพื้นที่ เท่ากับ   0.4   กิโลเมตรต่อตาราง กิโลเมตรในลำธารมีน้ำไหลตลอดปี    พื้นที่ ส่วนใหญ่ปกคลุมด้วยป่าเบญจพรรณผสมไผ่ และไร่ร้างโดย ผ่านการทำไร่มาแล้วประมาณ 2-3 ปี   มีการปลูกสวนป่า ในตอนล่างของ ลุ่มน้ำรวมทั้ง มีพื้นที่ทำไร่ข้าว เลื่อนลอยในช่วงฤดูฝน 4-5 ราย
             3. ลุ่มน้ำห้วยตาอื้อ     เป็นพื้นที่ลุ่มน้ำย่อยที่ใช้เป็นตัวแทนในการศึกษาพื้นที่ที่เป็นธรรมชาติ   มีพื้นที่ลุ่มน้ำ 14.78  ตารางกิโลเมตร    ความสูงจากระดับน้ำทะเลอยู่ในช่วง  200-700  เมตร    ความ ลาดชันเฉลี่ยประมาณ 28 เปอร์เซ็นต์     ความหนาแน่นของลำธารเท่ากับ 0.07 ความยาวของลำธาร ประมาณ  6.2  กิโลเมตร  ความยาวของ ลำธารต่อพื้นที่เท่ากับ    0.42   กิโลเมตรต่อตารางกิโลเมตร        ในลำธารมีน้ำไหลปริมาณมากในช่วงหน้าฝนและมี ปริมาณ น้อยจนแห้งในช่วงหน้าแล้ง   พื้นที่ตอนบนปกคลุมด้วยป่าเบญจพรรณผสมไผ่และป่าดิบแล้งธรรมชาติตาม ริมห้วย
             4. ลุ่มน้ำห้วยไทเย เป็นพื้นที่ลุ่มน้ำย่อยที่ใช้เป็นตัวแทนในการศึกษามีพื้นที่ลุ่มน้ำ  11.12   ตารางกิโลเมตร    ความสูงจากระดับน้ำทะเลอยู่ในช่วง  200-900  เมตร  ความลาดชันเฉลี่ยประมาณ   30  เปอร์เซ็นต์  ความยาวของ  ลำธารประมาณ  4.6  กิโลเมตร  ความยาวของลำธารต่อพื้นที่เท่ากับ 0.41 กิโลเมตรต่อตารางกิโลเมตร   ในลำธาร มีปริมาณ น้ำมากในช่วงฤดูฝนและมีปริมาณน้ำน้อยมากจนแห้ง ในช่วงฤดูหน้าแล้ง     ลักษณะพื้นที่ส่วนใหญ่เป็น พื้นที่ป่าไม้บริเวณเนินเขาและเป็นพื้นที่เลี้ยงสัตว์ในบริเวณที่ราบ สัตว์เลี้ยง ได้แก่ วัว
              5. ลุ่มน้ำห้วยลิ่นถิ่นตอนบน      เป็นพื้นที่ลุ่มน้ำย่อยที่ใช้เป็นตัวแทนในการศึกษาถึงสภาพการใช้ที่ดินเป็น แหล่งที่อยู่อาศัยและทำการเกษตรในที่ราบลุ่ม ในที่ราบตอนล่างมีพื้นที่ลุ่มน้ำ  14.55  ตาราง กิโลเมตร ความสูงจาก ระดับน้ำทะเลอยู่ในช่วง  200-1,030  เมตร   ความลาดชันเฉลี่ยประมาณ    28  เปอร์เซ็นต์    ความยาวของลำธาร ประมาณ  4.5  กิโลเมตร  ความยาวของลำธารต่อพื้นที่เท่ากับ   0.31 กิโลเมตรต่อตารางกิโลเมตร   ในลำธารมีน้ำ ไหลตลอดปีเป็นพื้นที่ที่ประชาชนอยู่อาศัยประมาณ  8 ครอบครัว  ทำการเกษตรปลูกข้าว ข้าวโพด กล้วย มะละกอ และมีการเลี้ยงไก่ วัว ควาย สุนัข  และแมว นอกจากนี้ยังมีการสร้างสวนป่าบริเวณลุ่มน้ำตอนล่างอีกด้วย

ลักษณะทางธรณีวิทยา
             บริเวณลุ่มน้ำลิ่นถิ่นจะเป็นทิวเขาเรียงตัวกันแนวเหนือใต้       ด้านข้างมีทิวเขาต่อจากเทือกเขา ตะนาวศรี ซึ่งเป็นทิวเขาติดต่อไปถึงภาคใต้ฝั่งตะวันออก  ภูมิประเทศประกอบด้วยภูเขาสูง   เนินเขา หุบเขา และที่ราบเชิงเขา  ในระดับความสูงต่าง ๆ กัน    ทิวเขาเหล่านี้ประกอบด้วยหินหลายชนิด   เช่น  หินแกรนิต  หินดินดาน   หินทราย ควอร์ตไซต์ หินปูน และหินกรวด เป็นต้น หินที่พบประกอบด้วย หิน 2 ชุด คือ
             1) หินชุดราชบุรี อยู่ทางตอนกลางของลุ่มน้ำห้วยลิ่นถิ่น   ส่วนใหญ่ประกอบด้วยหินปูน    สันนิษฐานว่า หินชุดนี้เกิดในยุคเพอร์เมียน และคาร์บอนิเฟอรัส      ลักษณะเป็นผลึกสีเทาอ่อน ปกคลุมอยู่บนยอดเขา  บางครั้งมี หินทรายหินกรวด และหินดินดานผสมบ้าง
             2) หินชุดกาญจนบุรี อยู่ทางตอนขวาของลุ่มน้ำห้วยลิ่นถิ่น สันนิษฐานว่าเกิดในยุคไซลูเรียน- เดโวเนียน และตอนต้นของยุคคาร์บอนิเฟอรัส ประกอบด้วยหินปูน หินทราย และหินดินดาน หลายแห่งถูกแปรสภาพจนกลาย เป็นหินหลายชนิด ได้แก่
             (1) หินปูน  เป็นหินที่ถูกชะล้างได้ง่าย สังเกตได้จากภูเขาสูงชันแต่ยอดมนส่วนประกอบที่สำคัญ  คือ  แร่ แคลไซต์ สิ่งเจือปนได้แก่ ซิลิก้า เหล็ก และแร่ดินเหนียว ซึ่งทำให้หินปูนสลายตัวได้ง่าย และให้ดิน ที่มีความอุดมสมบูรณ์สูง
             (2) หินควอร์ตไซต์ แปรสภาพมาจากหินทราย    เนื้อหินเป็นควอรตซ์เนื้อเดียวกัน   จึงเป็นหินที่ สลาย ตัว ช้ามากและให้ดินที่เป็นทรายจัด มีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ
             (3) หินทราย   ประกอบด้วยอนุภาคขนาดเม็ดทราย      ส่วนมากเป็นแร่ควอรตซ์   เมื่อถูกลมและ แสงแดด  มากๆ จะเกิดรอยแตกและถูกน้ำฝนชะล้างไปตกตะกอนในที่ต่ำ หินทรายเป็นหินที่ทนต่อการ ชะล้างพอสมควร
              (4) หินดินดาน เกิดจากการทับถมด้วยอนุภาคที่ละเอียดขนาดซิลท์และขนาดดินเหนียว   เนื่องจากหินมี ขนาดอนุภาคละเอียดมาก  จึงมีความพรุนน้อย  และมักเกิดเป็นชั้น ๆ เป็นหิน ที่ไม่แข็งแรงนัก สลายตัวได้เร็วและ เมื่อสลายตัวจะให้ดินเหนียวมีความอุดมสมบูรณ์ปานกลาง
              (5) หินกรวดเป็นหินที่มีอนุภาคของก้อนกรวดกลมเล็กและใหญ่คละกันไปมักทับถมใกล้ฝั่งหรือแถบต้นน้ำ มีความคงทนต่อการชะล้างเท่าๆ กับหินทราย และหินควอร์ตไซ์

ลักษณะทางปฐพีวิทยา
              สำหรับลักษณะของดิน เป็นพวก reddish brown lateritic soil   คือ   เป็นดินที่มีการระบายน้ำมีเนื้อดิน ตั้งแต่ร่วน(loam) ถึงดินเหนียว (clay loam) ลักษณะของดินแสดงการชะล้าง    และอาจจะพบศิลาแลงในชั้นล่าง ของดิน   เกิดจากวัตถุต้นกำเนิดที่เป็นวัสดุดินตกค้าง  (residium)    และวัตถุต้นกำเนิดที่เคลื่อนย้ายโดยแรงถ่วง ของโลก (colluvium) ของหินปูน   หินทราย   หินดินดาน หิน หินควอทไซต์ เป็นส่วนใหญ่โดยมีลักษณะ แตกต่าง ตามความสูง คือ
               1. ระดับที่ต่ำกว่า  300  เมตร  วัตถุต้นกำเนิดเป็นพวกดินดาน  และควอทไซต์   ผิวหน้าดินสีเข้ม dark reddish brown  และ dark brown ( 5 YR 3/3 - 7.5 YR 3/2)  เนื้อดินเป็นดินร่วนเหนียวปนทราย    ชั้นดินมีการ พัฒนาไม่ชัดเจน ดินชั้น A ลึก 0-12 เซนติเมตร   เนื้อดินร่วนปนทราย  โครงสร้างของดินลักษณะคล้ายลูกเต๋าที่มี ความกว้าง ความยาว และความหนาไล่เรี่ยกัน มีเหลี่ยมและมุมมน (Sub- angular blocky) ดินชั้น B ลึกประมาณ 12-47 เซนติเมตร  เนื้อดินร่วนเหนียวปนทราย  ชั้น C  ลึก มากกว่า 47 เซนติเมตร ดินมีความคงทนต่อการพังทลาย ต่ำมาก
              2. ระดับ 300 เมตร วัตถุต้นกำเนิดเป็นหินดินดานและแกรนิต   การระบายน้ำดี   ความลึกของชั้นดินจะ ผันแปรไปตามลักษณะภูมิประเทศ คือ บริเวณที่ลาดเขาความลาดชันน้อย ชั้นดินจะค่อนข้าง ลึกกว่าดินบริเวณที่ ใกล้สันเขาชั้นดิน A ลึก ตั้งแต่ 0-15 เซนติเมตร สีน้ำตาลเข้ม dark brown ( 7.5 YR 3/2 - 7.5 YR 6/2) Subanalar blocky  ชั้นดิน B ลึกประมาณ 15-50 เซนติเมตร  เนื้อดินร่วน เหนียวปน ทราย   โครงสร้างของดินลักษณะคล้าย ลูกเต๋ามีเหลี่ยมและมุมมน (Subangular blocky)
             3. ระดับ 500 เมตร วัตถุต้นกำเนิดเป็นหินดินดาน และควอทไซต์  ความลาดชันมากกว่า 40 เปอร์เซ็นต์ ขึ้นไป ชั้นดินตื้น ดินชั้น A ลึก 0.27 เซนติเมตร สีน้ำตาลแดง dark reddish brown (2.5 YR 3/4 - 5/6)    เนื้อดิน ร่วนเหนียวปนทราย ดินชั้น B ลึก 10-67 เซนติเมตร สีค่อนข้างแดง (2.5 YR 4/6 - 5/6) เนื้อดินร่วนเหนียวปนทราย
             4. ระดับ 700 เมตร ส่วนใหญ่เป็นสันเขา ความลาดชันตั้งแต่ 35-60 เปอร์เซ็นต์   ชั้นดินตื้น วัตถุต้นกำเนิด เป็นหินแกรนิต   ดินชั้น A ลึก 0-30 เซนติเมตร สีน้ำตาลแดง reddish brown (2.5 YR 4/4 - 4/6) เนื้อดินร่วนเหนียว ปนทรายโครงสร้างเป็นแบบ Subangular blocky ดินชั้น B ลึก 30-75 เซนติเมตร  สีแดงเข้ม (2.5 YR 3/6 - 4/4) เนื้อดินร่วนจนถึงเหนียวปนทรายพบศิลาแลงเป็นก้อนเล็ก ๆ ปนอยู่กับดินทั่วไปเป็นดินที่ง่ายต่อการพังทลาย
              สรุปโดยทั่วไป ดินบริเวณห้วยลิ่นถิ่น มีวัตถุต้นกำเนิดดินแต่ละห้วยย่อยคล้ายคลึงกันเป็นพวก หินควอทไซต์ หินดินดาน หินทราย หินแกรนิต และหินปูนเล็กน้อย   ซึ่งจะสลายตัวให้เนื้อดินค่อนข้างหยาบ (sandy  clay  loam) ดินสีน้ำตาลปนแดงเข้ม ความลึกของดินชั้น A ประมาณ 0-25 เซนติเมตร ดินชั้น B ลึกประมาณ 25-60 เซนติเมตร จากลักษณะดังกล่าว ดินในบริเวณลุ่มน้ำห้วยลิ่นถิ่น ส่วนใหญ่จัดอยู่ในกลุ่ม reddish brown lateritic soil  มีความ อุดมสมบูรณ์และความสามารถในการเก็บกักน้ำ ค่อนข้างต่ำ เนื่องจากเป็นดินร่วนเหนียวปนทรายและ มีเปอร์เซ็นต์ ทรายค่อนข้างสูง จึงทำให้การซึมน้ำได้ดีมีปริมาณน้ำไหลบ่าหน้าดินน้อยมีความคงทน ต่อการ พังทลายต่ำ

ลักษณะภูมิอากาศ
              ที่ตั้งของลุ่มน้ำลิ่นถิ่นอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของจังหวัดกาญจญบุรี ภูมิประเทศประกอบด้วยภูเขา สูง  ได้รับอิทธิพลจากลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้และลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ   อิทธิพลจากภูมิประเทศทำให้ ลักษณะ ภูมิอากาศแตกต่างจากจังหวัดอื่น ๆ  ในภาคกลางด้วยกัน โดยร้อนจัดในฤดูร้อนและหนาวจัดในฤดูหนาว   ส่วนฤดูฝนมีฝนตกปานกลาง   และการตกของฝนมัก   จะตกถูกต้องตามฤดูกาล ฤดูฝนเริ่มตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ฤดูร้อนเริ่มตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือน เมษายน และฤดูหนาวเริ่มตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนถึงเดือนมกราคม จาก สถิติของการตรวจวัดข้อมูล อากาศ สถานีวิจัยลุ่มน้ำแม่กลอง อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี ในปีที่เก็บตัวอย่าง น้ำตั้งแต่ เดือนเมษายน 2536- เดือนมีนาคม 2537 พบว่ามีปริมาณน้ำฝนเฉลี่ย 102.53 มิลลิเมตร อุณหภูมิ อากาศ โดยเฉลี่ย 26.86 องศาเซลเซียส การระเหยของน้ำเฉลี่ย 103.92 มิลลิเมตร ความชื้นสัมพัทธ์ เฉลี่ย 68.48 เปอร์เซ็นต์ และความเร็วลมเฉลี่ย 6.27 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

ลักษณะพืชพรรณและการใช้ประโยชน์ที่ดิน
              สถานีวิจัยลุ่มน้ำแม่กลอง จังหวัดกาญจนบุร  ี ได้จำแนกแบ่งชนิดของป่าบริเวณพื้นที่ลุ่มน้ำห้วยลิ่นถิ่นได้ ดังนี้
              1) ป่าเบญจพรรณแล้งสูงผสมไผ่ (Upper dry mixed deciduous forest with bamboo) พบมากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่   โดยเฉพาะพื้นที่ลุ่มน้ำตอนบนซึ่งมีความสูงจากระดับน้ำทะเล ตั้งแต่ 300-500 เมตร รทก จะ มีไม้ไผ่ 2-3 ชนิดขึ้นปะปนอยู่ค่อนข้างหนาแน่น ส่วนระดับความสูงที่ สูงกว่า 500 เมตร ขึ้นไป  จะมีไม้ไผ่ขึ้นปะปน อยู่ค่อนข้างเบาบาง 
               2) ป่าเบญจพรรณแล้งต่ำผสมไผ่   (Lower dry mixed deciduous forest with bamboo)   ขึ้นปกคลุม พื้นที่ระดับความสูงต่ำกว่า 300 เมตร รทก. ลงมา มีไม้ไผ่ 3-4 ชนิด ขึ้นปะปนค่อนข้าง หนาแน่น
              3) ป่าไผ่  (Bamboo  forest)   พบทั่วไปบริเวณริมลำธารซึ่งเคยเป็นป่าเบญจพรรณต่ำถูกแผ้วถางทำไร่ เลื่อนลอยแล้วปล่อยทิ้งร้างไว้   ไม้ไผ่จะขึ้นทดแทนหนาแน่นอย่างรวดเร็วภายในไม่เกิน   5   ปี    ขอบเขตป่าไผ่จะ ปรากฏเห็นชัดเจนเมื่อดูจากสันเขาฝั่งตรงกันข้าม
              4) ป่าดิบแล้ง (Dry evergreen forest) พบเป็นหย่อมเล็ก ๆ    บริเวณห้วยตาทะตอนกลาง และบริเวณ ห้วยไทเยตอนบนที่ระดับความสูงประมาณ  500-700  เมตร รทก. และบริเวณตามริมฝั่งห้วย ทุกห้วย
              5) ป่าเต็งรัง (Dry dipterocarp forest)   พบบริเวณสันเขาเตี้ย  ๆ   ที่ระดับความสูงประมาณ 300-400 เมตร รทก. ใกล้ ๆ กับห้วยนิคุฮุ และห้วยตาทะ แต่มีเนื้อที่เพียงเล็กน้อย
              6) พื้นที่เกษตรกรรม (Agricultural land)   พบบริเวณห้วยนิคุฮุ  ห้วยตาทะ  และห้วยลิ่นถิ่นตอนบน  ปลูก พืชไร่จำพวกฝ้าย ข้าวโพด ยาสูบ ละหุ่ง และข้าวไร่มีพื้นที่ประมาณ 6-8 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ 6 เปอร์เซ็นต์ ของพื้นที่ลุ่มน้ำทั้งหมด 
             จากการสำรวจพันธุ์ไม้ พบว่ามีพันธุ์ไม้มากกว่า   50   ชนิด กระจายอยู่ทั้งลุ่มน้ำชั้นเรือนยอด ประกอบด้วย 2 ชั้น คือชั้นเรือนยอดสูงสุด  มีไม้เรือนยอดเด่นหลายชนิด   ได้แก่   ยางขาว  ตะแบก  ตะเคียนหนู  บางแห่งอาจพบ ไม้แดง ประดู่ สมอพิเภก ส้าน ตะคร้ำ ความสูงของเรือนยอดชั้นนี้สูงกว่า 25 เมตร ส่วนไม้ขนาดกลางถึงเล็ก  ซึ่งขึ้น กระจายห่าง ๆ    มีไม้ปอ  คูณ  ซ้อ  มะกอก  เก็ดแดง  มะหวด กว้าน ก่อ มะขามป้อม มะกอก กางขี้มอด และอื่น ๆ  ไม้พื้นล่างเป็นไม้ไผ่ ไผ่บง ไผ่ซาง  มีเฟิร์นขึ้นอยู่ หนาแน่นปานกลาง  ป่าชนิดนี้เป็นป่าที่ต้นไม้ทิ้งใบในฤดูแล้ง มักจะมี ไฟป่าลุกลามทุกปี
 

 

กลุ่มลุ่มน้ำ สำนักวิชาการป่าไม้ กรมป่าไม้ จตุจักร กรุงเทพฯ 10900 
โทร. 5614292-4 ต่อ 437   แฟกซ์  5798775
back home