ข้อมูลด้านวิชาการ | งานวิจัย | วารสารวิชาการป่าไม้ | ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน | หน่วยงานส่วนภูมิภาค | อัตรากำลัง |  Link อื่นๆ
แท่งเชื้อเพลิงเขียวเพื่อทดแทนฟืนและถ่าน
(Green Fuel Briquette)
  
โดย...     นายประลอง   ดำรงค์ไทย   
                    จากสภาพความเป็นจริง เกี่ยวกับการใช้พลังงานเชื้อเพลิงของประชาชน โดยเฉพาะในชนบทยังนิยมใช้ฟืนและถ่านในการหุงต้ม ซึ่งกรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงานได้รายงานว่า ปี 2539 ประเทศไทยใช้ฟืนและถ่านคิดเป็น 16.7% เทียบกับการใช้พลังงานอื่น ๆ ประกอบกับพื้นที่ป่าไม้ของประเทศไทย ซึ่งเป็นแหล่งวัตถุดิบสำหรับฟืนและถ่านได้ลดลงเหลือเพียง 25.62% ในปี 2539 (กรมป่าไม้, 2540) ดังนั้นการศึกษาความเป็นไปได้ในการนำพลังงานทดแทนอื่นๆ มาใช้ให้เป็นประโยชน์ เป็นสิ่งจำเป็นและเร่งด่วน แต่โดยที่ประเทศไทยยังเป็นประเทศเกษตรกรรมอยู่ ดังนั้นจึงมีสิ่งสูญเสีย (WASTE) และสิ่งเหลือใช้ (RESIDUES) จากโรงงานอุตสาหกรรมเกษตร เช่น ชานอ้อยเน่าเปื่อย หรือวัชพืชต่างๆ อยู่มาก การนำชานอ้อยเน่าเปื่อยหรือวัชพืชต่างๆ เหล่านี้มาใช้ให้เกิดประโยชน์ในแง่ของพลังงานทดแทนฟืนและถ่าน โดยเฉพาะสำหรับประชาชนในชนบทก็จะทำให้ได้มีพลังงานเชื้อเพลิงใช้ได้ในราคาถูก และเป็นแนวทางหนึ่งที่จะช่วยรักษาและอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ของชาติที่เหลือน้อยลงทุกวัน
                     โครงการวิจัยเพื่อปรับปรุงและส่งเสริมการใช้แท่งเชื้อเพลิงเขียว เป็นโครงการที่กรมป่าไม้ ได้รับการสนับสนุนทุนศึกษาวิจัยจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เพื่อดำเนินการศึกษาในอันที่จะสนองแนวทางดังกล่าวเบื้องต้น โดยได้ทำการนำวัสดุเหลือใช้จากการเกษตร หรืออุตสาหกรรมการเกษตร เช่น ชานอ้อยเน่าเปื่อย, วัชพืช หรือใบไม้ มาอัดเป็นแท่งมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางโต 7 เซนติเมตร โดยกระบวนการอัดเย็น จากเครื่องอัดแท่งเชื้อเพลิงเขียวแบบสกรูที่ทำจากสแตนเลสและขับด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า ขนาด 2 แรงม้า แล้วนำไปตากแดดให้แห้ง จะได้แท่งเชื้อเพลิงที่สามารถใช้แทนฟืนและถ่านได้เป็นอย่างดี
     
  แท่งเชื้อเพลิงเขียวคืออะไร ?
คือ แท่งเชื้อเพลิงที่ได้จากการอัดแท่ง (โดยไม่ใช้ความร้อน) จากวัสดุชีวมวล/เศษวัชพืชต่าง ๆ หรือเศษวัสดุที่เหลือจากภาคอุตสาหกรรมการเกษตร เช่น ชานอ้อยเน่าเปื่อย, ผักตบชวา ฯลฯ มาอัดเป็นแท่ง โดยอาศัยความเหนียวของยางในวัสดุเหล่านั้นเป็นตัวเชื่อมประสานและมีความชื้นพอดี เมื่ออัดออกมาเป็นแท่งเช้วก็จะได้แท่งอัดเชื้อเพลิงที่ใช้ประโยชน์แทนฟืน, ถ่าน หรือแก๊สหุงต้ม ได้เป็นอย่างดี
     
green_f1.gif (97624 bytes)
แท่งเชื้อเพลิงเขียวที่สามารถนำไปใช้แทนฟืน-ถ่าน
   
การอัดแท่งเชื้อเพลิงเขียว (การอัดเปียก)
                       เป็นการอัดโดยใช้เครื่องอัดแบบเกลียวหรือสกรู ซึ่งจะสามารถทำได้ทั้งกับวัสดุสดและแห้ง (แต่ถ้าวัสดุมีความชื้นปานกลางจะอัดได้สะดวกและรวดเร็ว) และสามารถทำได้กับวัสดุชนิดต่างๆ อย่างกว้างขวาง แต่ในโครงการนี้จะทดลองใช้กับชานอ้อยเน่าเปื่อย (ชาวบ้านเรียกขี้เป็ด) เนื่องจากสามารถหาได้ง่าย-สะดวก-เสียค่าใช้จ่ายต่ำ ซึ่งประเทศไทยจะมีโรงงานผลิตน้ำตาลมาก ดังนั้นโครงการนี้จึงเป็นเทคโนโลยีการอัดแท่งแบบง่ายๆ สะดวก และไม่สร้างความยุ่งยากให้ชาวบ้านในท้องที่ จึงเป็นความ สมดุลย์ และน่าทึ่งที่เหมาะสำหรับชาวบ้านที่จะผลิตแท่งเชื้อเพลิงเพื่อใช้ในการหุงต้ม ตลอดจนใช้ในกิจกรรมต่างๆ ในครัวเรือนและรวมถึงในอุตสาหกรรมขนาดเล็ก
                      การอัดแท่งเชื้อเพลิงในลักษณะนี้ได้ถือกำเนิดมาจากการอัดถ่านเขียว (green charcoal) ของประเทศฟิลิปปินส์ เมื่อ พ.ศ.2523 ซึ่งค้นพบโดย มร. กอนซาโล คาแทน (Gonzalo O. Catan) และคณะโดยการนำเศษใบไม้ ใบหญ้า ไปหมักให้เน่าเปื่อยด้วยจุลินทรีย์บางชนิดแล้วจึงอัดโดยใช้ตัวเชื่อมประสานจากภายนอกช่วย
   
  เครื่องอัดแท่งเชื้อเพลิงเขียว และกระบวนการอัด

เครื่องมืออัดแท่งเชื้อเพลิงเขียว   ประกอบด้วย (ดูรูปประกอบ)

สกรูอัด (Screwfeeder) ทำจากสแตนเลส
มอเตอร์ ขนาด 2 แรงม้า (HP.)
กระบอกรีด (Troat) ทำจากสแตนเลส
คัปปิ้ง (หน้าแป้นสำหรับต่อเชื่อมเพลา 2 ชุด)
ลูกปืนตุ๊กตา (UCP 205 - สำหรับประคองเพลา)
เพลา
แกนเพลา
พูลเล่ย์ (มูเล่) ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 2" , 4" , 6" และ 12?
สายพาน
ช่องป้อนวัตถุดิบ ทำจากสแตนเลส
ถาดกองวัตถุดิบ

 

  
green_f2.gif (77941 bytes)


ภาพถ่ายของเครื่องอัดแท่งเชื้อเพลิงเขียว

  
การต่อเครื่องอัดแท่งเชื้อเพลิงเขียวเข้ากับระบบไฟฟ้า
                   ในหลักการของเครื่องที่ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าโดยทั่วๆ ไป ผู้ใช้จะต้องตรวจสอบดูว่า แหล่งจ่ายไฟฟ้าสำหรับเครื่องมีขนาด แรงดัน (โวลท์) และความสามารถในการจ่าย กระแสไฟ (แอมป์) ได้เพียงพอและถูกต้อง ดังนี้
                    1. สำหรับมอเตอร์ชนิด 2 สาย ใช้ไฟ 220 โวลท์ จ่ายกระแสไฟได้ไม่น้อยกว่า 10 แอมป์ ต่อ 1 เครื่อง การต่อสายไฟจากเครื่องเข้ากับระบบจ่ายไฟจะต้องผ่านคัทเอ้าท์ หรืออุปกรณ์ตัดตอนไฟฟ้า ที่มีฟิวส์หรือระบบป้องกันกระแสเกิน ขนาด 10 แอมป์ เป็นตัวป้องกัน
                    2. สำหรับมอเตอร์ชนิด 3 สาย ใช้ไฟ 380 โวลท์ จ่ายกระแสไฟได้ไม่น้อยกว่า 5 แอมป์ ต่อ 1 เครื่อง การต่อสายไฟจากเครื่องเข้าระบบจ่ายไฟจะต้องผ่านคัทเอ้าท์ หรืออุปกรณ์ตัดตอนไฟฟ้า ชนิด 3 สาย ที่มีฟิวส์หรือระบบป้องกันกระแสเกิน ขนาด 10 แอมป์ เป็นตัวป้องกัน
                    การต่อคัทเอ้าท์จะต้องใช้แยก เครื่องละ 1 ตัวเท่านั้น ห้ามต่อรวมกันโดยใช้คัทเอ้าท์หรืออุปกรณ์ตัดตอนไฟฟ้า ตัวเดียวเป็นอันขาด แต่สำหรับเครื่องอัดแท่งเชื้อเพลิงเขียวที่ได้พัฒนาและปรับปรุงสำหรับโครงการนี้จะใช้ไฟ 220 โวลท์ ตามหัวข้อ 1. ซึ่งเป็นระบบไฟฟ้าที่ใช้ได้ทั่วไป
การใช้และบำรุงรักษาเครื่องอัดแท่งเชื้อเพลิงเขียว
                   ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว เครื่องอัดชนิดนี้ทำงานด้วยการอัด (Pressure) หรือแรงดันจากมอเตอร์ไฟฟ้า ขนาด 2 แรงม้า ที่ไปหมุนสกรูหรือเกลียว (ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของเครื่องที่ผลิตจากสแตนเลสแทนเหล็ก เพื่อให้มีความทนทานต่อการสึกกร่อน เนื่องจากวัตถุดิบบางชนิดมีส่วนผสมของน้ำตาล) เพื่อขับวัสดุชานอ้อยเน่าเปื่อย (ซึ่งเป็นวัตถุดิบที่ทำแท่งเชื้อเพลิง) ให้อัดแน่นเป็นแท่งโดยรีดออกมาจากกระบอกรีด (Troat - ทำจากสแตนเลส) ดังนั้นเพื่อเป็นการใช้เครื่องให้ถูกต้องและรักษาเครื่องให้ใช้ได้นาน การปฏิบัติงานก่อนและหลังการอัดแท่งฯ ควรจะดำเนินการดังนี้
เตรียมกองวัสดุที่ผสมเสร็จแล้วไว้บนถาด สำหรับกองวัตถุดิบ
เตรียมอุปกรณ์สำหรับรับ แท่งเชื้อเพลิง ที่อัดออกมาได้ เช่น ใช้แผ่นสังกะสี ที่เป็นลอนลูกฟูกเป็นตัวรับ 
โดยอาจจะทำเป็นแคร่หรือขาตั้ง หรือจะทำเป็นรางเลื่อนก็ได้
เมื่อพร้อมแล้วจึงเปิดสวิทส์เดินเครื่อง แล้วจึงป้อนวัตถุดิบลงในช่องป้อนโดยใช้ เศษไม้ช่วยเขี่ย
ก่อนหยุดเครื่องทุกครั้ง ต้องปล่อยให้เครื่องเดินอัดแท่งเชื้อเพลิงออกมาให้หมด อย่าปล่อยให้ตกค้างในกระบอกอัด
หลังการใช้งาน จะต้องถอดเกลียวอัด, กระบอกรีด, และท่อออกมาล้างทำความสะอาดทุกครั้ง
ตรวจเช็คและปรับระยะความตึงของสายพานให้เหมาะสมอยู่เสมอ
ตรวจอัดไข หรือจาระบี เป็นระยะสม่ำเสมอ หรืออย่างน้อยเดือนละครั้ง
กระบวนการอัดแท่งเชื้อเพลิงเขียว
                กระบวนการอัดแท่งเชื้อเพลิงในโครงการนี้ ดังที่ได้กล่าวไว้แล้วจะใช้ชานอ้อยเน่าเปื่อย หรือชาวบ้านเรียกขี้เป็ด (ต่อไปนี้จะใช้คำเรียกเฉพาะชานอ้อย) ซึ่งเป็นวัตถุดิบที่หาได้ง่าย เสียค่าใช้จ่ายต่ำมาอัดแท่ง โดยที่โรงงานน้ำตาลจะเปิดทำการช่วงประมาณเดือนมกราคมเรื่อยไป ประมาณ 3 เดือนของทุกปี ดังนั้นช่วงดังกล่าวจะต้องดำเนินการนำชานอ้อยมาเก็บไว้เพื่อใช้ผลิตแท่งเชื้อเพลิงตลอดปี จากการทดลองอัดแท่งเชื้อเพลิงเขียวกับเครื่องมือ พบว่า ถ้าผสมชานอ้อยกับขุยมะพร้าว (หาซื้อได้ง่าย-ราคาไม่สูง) ในอัตราส่วนชานอ้อย : ขุยมะพร้าว ตั้งแต่ 1:1, 2:1, 3:1, และ 4:1 จะสามารถผลิตแท่งอัดได้เร็วกว่าใช้ชานอ้อยล้วนๆ รายละเอียดแสดงในตารางที่ 1
ตารางที่ 1 แสดงระยะเวลาของการอัดแท่งเชื้อเพลิงเขียวในอัตราส่วนผสมต่างๆ
   
ส่วนผสม ความยาวแท่งเชื้อเพลิง
(เมตร)
เวลาที่ใช้
(ประมาณ)
หมายเหตุ
ชานอ้อย (100%) 1 3.5 นาที ขนาดเส้นผ่า
ศูนย์กลาง
เท่ากัน
คือ 7 ซม.
ชานอ้อย : ขุยมะพร้าว (1 : 1 ) 1 1.5 นาที
ชานอ้อย : ขุยมะพร้าว (2 : 1) 1 1.5 นาที
ชานอ้อย : ขุยมะพร้าว (3 : 1) 1 2 นาที
ชานอ้อย : ขุยมะพร้าว (4 : 1) 1 2 นาที (แท่งอัดชื้น)
ชานอ้อย : ขุยมะพร้าว (5 : 1) 1 3 - 3.5 นาที เป็นอัตราส่วนที่ไม่เหมาะสม
  
                   แต่ถ้าใช้ขุยมะพร้าวล้วนๆ อัดแท่งจะไม่สามารถทำได้ ทั้งนี้จากการสังเกตพบว่าขุยมะพร้าวมีเส้นใยที่ยาวและแข็ง ซึ่งจะพันรอบเกลียวในขณะอัดแท่ง ถ้าหนาแน่นมากเข้า เกลียวจะหยุดหมุน สำหรับชานอ้อยถ้าละเอียดมากๆ ก็จะมีปัญหาต่อการอัดเช่นเดียวกัน การผสมชานอ้อยกับขุยมะพร้าว ในอัตราส่วนที่ใช้ชานอ้อยสูงกว่าขุยมะพร้าว เมื่อนำไปทดสอบประสิทธิภาพหรือระยะเวลาของการหุงต้มแล้ว จะใช้เวลาต้มน้ำนานกว่าชานอ้อยล้วน ๆ เพียง 1 - 2 นาที ในอัตราส่วนผสม ชานอ้อย : ขุยมะพร้าว = 2 : 1 ดังแสดงในตารางที่ 2 ดังนั้นเพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายในการลงทุน จึงต้องผสมขุยมะพร้าวในอัตราต่ำ ๆ ทั้งนี้ เนื่องจากราคาของขุยมะพร้าวจะสูง (ชานอ้อยจะได้มาจากโรงงานฟรี แต่เพียงเสียค่าใช้จ่ายในการขนส่ง) ในชั้นนี้ อัตราส่วนผสมที่แนะนำให้ผสมคือ ชานอ้อย : ขุยมะพร้าว = 4 : 1 ซึ่งเวลาการต้มน้ำก็อยู่ในช่วง 21 ถึง 18 นาที (ดูตารางที่ 1 และ 2 ประกอบ ถึงความเหมาะสมในอัตราส่วนผสม)
  

ตารางที่ 2 แสดงประสิทธิภาพ (ระยะเวลา) การต้มน้ำของแท่งเชื้อเพลิงเขียวในอัตราส่วนผสมต่างๆ

ส่วนผสม ระยะเวลาเฉลี่ย
จนถึงน้ำเดือด (นาที)
หมายเหตุ
ชานอ้อย (100%) 18

ทดลองกับเตาประสิทธิภาพสูงกรมป่าไม้
โดยใช้แท่งเชื้อเพลิงหนัก (แห้ง) 600 กรัม
(หรือยาวประมาณ 30 ซม.)

ชานอ้อย : ขุยมะพร้าว (2 : 1 ) 21
ชานอ้อย : ขุยมะพร้าว (1 : 1) 23
ชานอ้อย : ขุยมะพร้าว (1 : 2) 34
ผลผลิตแท่งเชื้อเพลิงเขียว
                   ดังที่กล่าวไว้ในส่วนของระยะเวลาของการอัดแท่งเชื้อเพลิงเขียวในตารางที่ 1 ทำให้ทราบถึงเวลาการผลิตสำหรับแท่งเชื้อเพลิง 100 เซนติเมตร (หรือ 1 เมตร) และหลังจากตากแดดให้แท่งเชื้อเพลิงแห้งแล้ว ชั่งน้ำหนักทำให้ทราบถึงผลผลิตเป็นน้ำหนักโดยแสดงในตารางที่ 3
  
ตารางที่ 3 แสดงผลผลิตของแท่งเชื้อเพลิงเขียวในอัตราส่วนผสมต่าง ๆ

ส่วนผสม

ปริมาณของแท่งเชื้อเพลิง
ต่อการอัด 60 นาที
น้ำหนักแห้งแท่งเชื้อเพลิง
เฉลี่ยต่อการอัด 60 นาที
ชานอ้อย (100%) 1,700 ซม. (17 ม.) 25.5 กก.
ชานอ้อย : ขุยมะพร้าว (1 : 1 ) 4,000 ซม. (40 ม.) 60.0 กก.
ชานอ้อย : ขุยมะพร้าว (2 : 1) 4,000 ซม. (40 ม.) 60.0 กก.
ชานอ้อย : ขุยมะพร้าว (3 : 1) 3,000 ซม. (30 ม.) 45.0 กก.
ชานอ้อย : ขุยมะพร้าว (4 : 1) 3,000 ซม. (30 ม.) 45.0 กก.
   
ค่าความร้อนและความหนาแน่นของแท่งเชื้อเพลิงเขียว
                    จากการเอาแท่งเชื้อเพลิงเขียวไปทดสอบหาค่าความร้อนกับเครื่อง Caloremeter Bomb แล้วค่าที่ได้จากการใช้ชานอ้อยเน่าเปื่อยล้วนๆ จะสูงกว่าที่ผสมกับขุยมะพร้าว แต่จะต่ำกว่าของไม้ฟืนและถ่าน ทั้งนี้เนื่องจากถ่านได้ผ่านขบวนการเผา (Carbonization) ซึ่งทำให้มีปริมาณคาร์บอนเสถียรสูงค่าความร้อนก็สูงตาม (รายละเอียดดังแสดงตารางที่ 4) แต่ทั้งนี้แท่งอัดเชื้อเพลิงเขียวก็ยังให้ค่าความร้อนสูง ซึ่งสามารถต้มน้ำเดือดภายในเวลาประมาณ 18-34 นาที (จากตารางที่ 2) ในขณะที่ฟืน (ไม้มะขามเทศ) ใช้เวลาเฉลี่ย 28 นาที และถ่าน (ไม้มะขามเทศ) ใช้เวลาเฉลี่ย 36 นาที
      
ตารางที่ 4 แสดงค่าความร้อนของแท่งอัดเชื้อเพลิงเขียวเทียบกับฟืนและถ่าน
  

ส่วนผสม

ค่าความร้อน
(แคลอรี่/กรัม)
หมายเหตุ
ชานอ้อย (100%) 3,172 วิเคราะห์ ณ ห้อง ปฏิบัติการ
กรมป่าไม้ (2540)
ชานอ้อย : ขุยมะพร้าว (1 : 1) 3,050
ชานอ้อย : ขุยมะพร้าว (1 : 2) 2,975
ฟืนไม้มะขามเทศ 4,721 รายงานวิจัยฯ วัฒนา
(2530)
ถ่านไม้มะขามเทศ 7,391
    
                    สำหรับความหนาแน่น (Density) ของแท่งเชื้อเพลิงเขียวที่ได้ทำการทดสอบ โดยหาจากสูตรคำนวณ คือ
  
ความหนาแน่น (D)  =           น้ำหนัก (m) / ปริมาตร (v)                   กรัม/ ลบ.ซม.
 
                   ค่าที่ได้ของแท่งเชื้อเพลิงเขียว ที่ทำด้วยชานอ้อยล้วนๆ มีค่าสูงสุด เทียบกับที่ผสมกับขุยมะพร้าวในอัตราส่วนต่างๆ โดยมีค่าความหนาแน่นใกล้เคียงค่า 1 (ดังรายละเอียดตารางที่ 5)
  
ตารางที่ 5 แสดงค่าความหนาแน่นของแท่งเชื้อเพลิงเขียว ในอัตราส่วนผสมต่างๆ

ส่วนผสม

ค่าความหนาแน่น
(กรัม/ลูกบาศก์เซนติเมตร)
หมายเหตุ
ชานอ้อย (100%) 0.98
คำนวณโดยใช้สูตร
D = m
       v
 
ชานอ้อย : ขุยมะพร้าว (2 : 1 ) 0.82
ชานอ้อย : ขุยมะพร้าว (1 : 1) 0.61
ชานอ้อย : ขุยมะพร้าว (1 : 2) 0.57
   
การตากแห้ง
                     ในการอัดแท่งเชื้อเพลิงเขียวนั้น จะใช้วัสดุที่มีความชื้นสูง (สูงกว่า 100 เปอร์เซ็นต์) ดังนั้นก่อนนำไปใช้ก็จะต้องทำให้แห้ง วิธีการที่สะดวกและประหยัด สำหรับชาวบ้านก็คือการตากแดดโดยตรง อาจจะตากบนพื้นซีเมนต์ หรือบนสังกะสีลูกฟูก ฯลฯ ก็นับว่าเป็นวิธีการที่ประหยัด ซึ่งสำหรับโครงการนี้ก็ทำการทดลองตากแดดโดยตรงบนพื้นซีเมนต์ เป็นเวลา 2-3 วัน ก็สามารถนำไปใช้ได้ นอกจากนี้ก็มีวิธีการตากหรือการทำให้แห้งหลายวิธี นอกจากตากแดดโดยตรง คือ
-   อบในตู้อบแสงอาทิตย์
-   อบด้วยความร้อนจากเตาเผาขยะ
-   อบด้วยความร้อนที่เหลือทิ้งจากโรงงานอุตสาหกรรม
-   อบด้วยความร้อนจากเครื่องทำความร้อน
  
การเก็บรักษาแท่งเชื้อเพลิงเขียว
                การตัดให้เป็นแท่งเพื่อให้ดูสวยงามและสะดวกในการหีบห่อ การตัดควรกระทำหลังตากแห้งเรียบร้อยแล้ว การตัดอาจจะใช้มีดคมๆ หรือใบมีดคัดเตอร์ตัดเป็นท่อนๆ ตามต้องการ การตัดเป็นจำนวนมากๆ จะใช้เครื่องตัดก็ได้ ถ้าต้องการประหยัดค่าใช้จ่ายและไม่ต้องการความสวยงามก็ใช้มือหักเอา
               การบรรจุหีบห่อโดยที่เชื้อเพลิงเขียวจะมีลักษณะโปร่ง (porosity) ดังนั้นถ้าเก็บไว้ในที่มีความชื้นสูง จะทำให้แท่งเชื้อเพลิงมีราขึ้น เหตุนี้จึงต้องเก็บไว้ในที่แห้ง การใส่ถุงพลาสติกแล้ว ซีลปากถุงก็จะช่วยได้มากจะใช้ถุงเล็กหรือถุงใหญ่ขึ้นอยู่กับปริมาณที่ต้องการเก็บไว้ใช้และความสะดวกที่มี หากไม่สะดวกจะใช้เชือกผูกแท่งเชื้อเพลิงไว้เป็นมัดๆ ก็ได้ ข้อสำคัญต้องเก็บไว้ในที่แห้งที่ฝนหรือละอองน้ำไม่กระเซนเข้าไป
  
การนำแท่งเชื้อเพลิงเขียวไปใช้ในการหุงต้ม

  green_f3.gif (81562 bytes)
การใช้แท่งเชื้อเพลิงเขียวในการหุงต้ม

              หักแท่งเชื้อเพลิงให้เป็นท่อนสั้นๆ มีความยาวสัก 1 นิ้ว จำนวน 3-4 ท่อน จุ่มลงในแอลกอฮอล์จุดไฟ แล้ววางเรียงในเตาเพื่อใช้เป็นเชื้อติดไฟ (starter) เอาแท่งเชื้อเพลิงที่ไม่ได้จุ่มแอลกอฮอล์วางซ้อนเป็นชั้นๆ ในเตาแล้วจึงจุดไฟ หรือจะใช้น้ำมันแก๊สโซลีน เศษกระดาษหรือเศษฟืนเล็กๆ เป็นเชื้อติดไฟก็ย่อมทำได้ แต่ถ้าใช้แอลกอฮอล์จะจุดไฟได้เร็วทันใจเช่นเดียวกับแก๊สหุงต้ม และไม่มีควันรบกวน
               เตาที่ใช้ ถ้าใช้เตาพื้นบ้านการระบายอากาศจะน้อยไป เพราะรังผึ้งมีขนาดเล็กไปและเตาอาจจะเตี้ยไป เตาที่จะใช้กับเชื้อเพลิงเขียวควรเป็นเตาที่มีทรงสูงและการระบายอากาศดี จะเป็นเตาดินหรือเตาโลหะก็ได้ เช่น เตา (ฟืน) ประสิทธิภาพสูงกรมป่าไม้ หากเกรงว่าจะมีควันรบกวนก็อาจจะติดปล่องที่ระบายควันช่วย โดยเฉพาะเตาที่มีปล่องที่ถอดได้
                    การเก็บรักษาแท่งเชื้อเพลิงไว้ใช้เมื่อแท่งเชื้อเพลิงแห้งดีแล้ว หากประสงค์จะเก็บไว้ใช้นานๆ ควรเก็บใส่ถุงพลาสติกหรือกระสอบแล้วปิดปากให้แน่น เพื่อป้องกันความชื้นเข้า โดยที่เชื้อเพลิงนี้มีลักษณะค่อนข้างโปร่ง เมื่อเก็บไว้ในที่ชื้น หรือที่มีละอองฝนประพรม เชื้อเพลิงจะดูดความชื้นเข้าไปทำให้เกิดเชื้อรา ทำให้จุดไฟไม่ดีและมีควัน ดังนั้นควรเก็บไว้ในที่แห้ง
 
คุณสมบัติโดยทั่วไปของแท่งเชื้อเพลิงเขียว
                   โดยทั่วไปเชื้อเพลิงเขียวมีคุณลักษณะคล้ายฟืน มีค่าความร้อนต่ำกว่าถ่านมาก เวลาจุดมีควันมาก ถ้าใช้กับเตาปล่องจะช่วยลดควัน เชื้อเพลิงเขียวที่ทำจากเศษพืชเน่าเปื่อย เช่น ชานอ้อยเน่าเปื่อย เป็นเชื้อเพลิงเขียวที่มีคุณภาพดี หากผสมผงถ่านที่เหลือทิ้งสักเล็กน้อย จะช่วยทำให้มีคุณภาพสูงขึ้นและมีประสิทธิภาพไม่แพ้ถ่านหรือจะดีกว่าถ่านเสียอีก แต่ทั้งนี้จะต้องขึ้นอยู่กับความเข้าใจของผู้ผลิตและผู้ใช้เชื้อเพลิงในการปรับปรุงเทคนิคเล็กๆ น้อยๆ
                  เนื่องจากแท่งเชื้อเพลิงเขียวมีค่าความหนาแน่น (Density) ใกล้เคียง 1 ดังนั้นสามารถนำไปเผาเป็นถ่านได้ (Carbonization) โดยจากการทดลองเผาแบบแกลบกลบ ใช้เวลาประมาณ 20-24 ชั่วโมง (1 วัน) และถ่านที่ได้สามารถนำไปเป็นเชื้อเพลิงได้ และให้ความร้อนได้สูง
                 เชื้อเพลิงเขียวที่ใช้วัชพืช (ไมยราบยักษ์) สับเป็นชิ้นเล็กๆ ผสมกับลิกไนท์ผง 20-30% จะเป็นเชื้อเพลิงที่เหมาะกับโรงบ่มยาสูบ หากใช้ลิกไนท์ผงล้วนๆ อัดแท่ง เถ้าจะจับตัวเป็นก้อนแตกยาก หากผสมชีวมวลจะช่วยให้เถ้าแตกง่าย (วัฒนา, 2529)
  
green_f4.gif (87917 bytes)
การนำแท่งเชื้อเพลิงเขียวไปเผาเพื่อใช้ในรูปถ่าน
  
ข้อได้เปรียบของแท่งเชื้อเพลิงเขียวเทียบกับฟืนและถ่าน
             1. ไม่ต้องตัดไม้ทำลายป่ามาทำเป็นฟืนและเผาถ่าน การใช้เชื้อเพลิงเขียวซึ่งทำจากชานอ้อยเน่าเปื่อย และเศษพืช ฯลฯ ทดแทนฟืน และถ่าน ทำให้มีโอกาสได้ช่วยสงวนป่าไม้ของชาติไว้ให้ลูกหลาน
             2. การจุดติดไฟทำได้ง่ายกว่าฟืนและถ่าน เชื้อเพลิงเขียวจะใช้เวลาในการเรียงเชื้อเพลิงและจุดติดไฟภายใน 1 นาที ซึ่งฟืนและถ่านทำไม่ได้
            3. ได้เชื้อเพลิงสะอาด การเผาไหม้มีประสิทธิภาพสูง การเผาไหม้จึงดีกว่าฟืนและถ่าน นอกจากนี้ยังสามารถใช้ทดแทนหรือเสริมแก๊สหุงต้มได้ในบางโอกาสและที่สำคัญคือ เชื้อเพลิงเขียวไม่ไวไฟ (unflamable) ดังนั้น จึงไม่มีอันตรายจากการระเบิด เช่น ถังแก๊สหุงต้มที่ปรากฏความสูญเสียอยู่บ่อยๆ
            4. ทำใช้ได้สะดวกกว่าหาฟืนและเผาถ่านเพราะวัสดุโดยเฉพาะชานอ้อยเน่าเปื่อย และวัชพืชหาได้ง่ายและราคาต่ำ ถ้าท่านพร้อมที่จะทำ
             5. ช่วยทำลายวัชพืชบกที่รบกวนพื้นที่เกษตรกรรม เช่น หญ้าขจรจบ ไมยราบยักษ์ วัชพืชที่อยู่ได้ทั้งบนบกและในน้ำ เช่น โสน กกธูป วัชพืชน้ำที่รบกวนแหล่งเลี้ยงปลา ปิดกั้นทางคมนาคม ทางน้ำ ทำให้คลองระบายน้ำตื้นเขินและปิดการระบายน้ำ เช่น ผักตบชวา
             6. มีศักยภาพที่จะทำเป็นเชื้อเพลิงที่มีกลิ่นหอมได้ ถ้าเลือกใช้พืช เช่น ใบเตย ทำเป็นเชื้อเพลิง ย่างเนื้อให้มีรสหอม เป็นต้น
             7. มีราคาถูกกว่าฟืนและถ่าน
    
เอกสารอ้างอิง
กรมป่าไม้.2539. สถิติการป่าไม้ของประเทศไทย ปี 2539. ส่วนศูนย์ข้อมูลกลาง, สำนักสารสนเทศ,กรมป่าไม้.
กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน.2539. รายงานพลังงานของประเทศไทย 2539. กระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม.
วัฒนา เสถียรสวัสดิ์. 2529. รายงานวิจัยเรื่องเชื้อเพลิงเขียว (โครงการเชื้อเพลิงแข็ง.) ภาควิชาพืชสวน
               คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กรุงเทพฯ.
วัฒนา เสถียรสวัสดิ์. 2530. รายงานวิจัยโครงการแท่งเชื้อเพลิงแข็ง. ภาควิชาพืชสวน คณะเกษตร
              มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. กรุงเทพฯ.
สำนักงานพัฒนาชุมชนอำเภอท่าม่วง. 2538. สรุปผลการดำเนินงานพัฒนาชุมชนประจำปี 2538. จังหวัดกาญจนบุรี.
สำนักงานสถิติจังหวัดกาญจนบุรี. 2539. สมุดรายงานสถิติจังหวัดกาญจนบุรี พ.ศ.2539. สำนักงานสถิติ
             จังหวัดกาญจนบุรี, สำนักงานสถิติแห่งชาติ. สำนักนายกรัฐมนตรี.
 

ของป่า  |  ค่ากลสมบัติของไม้วงศ์ยางชนิดต่างๆ  |   แท่งเชื้อเพลิงเขียวเพื่อทดแทนฟืนและถ่าน