|
|
- การต่อเครื่องอัดแท่งเชื้อเพลิงเขียวเข้ากับระบบไฟฟ้า
-
ในหลักการของเครื่องที่ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าโดยทั่วๆ
ไป ผู้ใช้จะต้องตรวจสอบดูว่า
แหล่งจ่ายไฟฟ้าสำหรับเครื่องมีขนาด
แรงดัน (โวลท์)
และความสามารถในการจ่าย กระแสไฟ
(แอมป์) ได้เพียงพอและถูกต้อง
ดังนี้
-
1. สำหรับมอเตอร์ชนิด 2 สาย ใช้ไฟ 220
โวลท์
จ่ายกระแสไฟได้ไม่น้อยกว่า 10
แอมป์ ต่อ 1 เครื่อง
การต่อสายไฟจากเครื่องเข้ากับระบบจ่ายไฟจะต้องผ่านคัทเอ้าท์
หรืออุปกรณ์ตัดตอนไฟฟ้า
ที่มีฟิวส์หรือระบบป้องกันกระแสเกิน
ขนาด 10 แอมป์ เป็นตัวป้องกัน
-
2. สำหรับมอเตอร์ชนิด 3 สาย ใช้ไฟ 380
โวลท์
จ่ายกระแสไฟได้ไม่น้อยกว่า 5
แอมป์ ต่อ 1 เครื่อง
การต่อสายไฟจากเครื่องเข้าระบบจ่ายไฟจะต้องผ่านคัทเอ้าท์
หรืออุปกรณ์ตัดตอนไฟฟ้า ชนิด 3
สาย
ที่มีฟิวส์หรือระบบป้องกันกระแสเกิน
ขนาด 10 แอมป์ เป็นตัวป้องกัน
-
การต่อคัทเอ้าท์จะต้องใช้แยก
เครื่องละ 1 ตัวเท่านั้น
ห้ามต่อรวมกันโดยใช้คัทเอ้าท์หรืออุปกรณ์ตัดตอนไฟฟ้า
ตัวเดียวเป็นอันขาด แต่สำหรับเครื่องอัดแท่งเชื้อเพลิงเขียวที่ได้พัฒนาและปรับปรุงสำหรับโครงการนี้จะใช้ไฟ
220 โวลท์ ตามหัวข้อ 1.
ซึ่งเป็นระบบไฟฟ้าที่ใช้ได้ทั่วไป
|
- การใช้และบำรุงรักษาเครื่องอัดแท่งเชื้อเพลิงเขียว
-
ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว
เครื่องอัดชนิดนี้ทำงานด้วยการอัด
(Pressure) หรือแรงดันจากมอเตอร์ไฟฟ้า
ขนาด 2 แรงม้า
ที่ไปหมุนสกรูหรือเกลียว (ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของเครื่องที่ผลิตจากสแตนเลสแทนเหล็ก
เพื่อให้มีความทนทานต่อการสึกกร่อน
เนื่องจากวัตถุดิบบางชนิดมีส่วนผสมของน้ำตาล)
เพื่อขับวัสดุชานอ้อยเน่าเปื่อย
(ซึ่งเป็นวัตถุดิบที่ทำแท่งเชื้อเพลิง)
ให้อัดแน่นเป็นแท่งโดยรีดออกมาจากกระบอกรีด
(Troat - ทำจากสแตนเลส)
ดังนั้นเพื่อเป็นการใช้เครื่องให้ถูกต้องและรักษาเครื่องให้ใช้ได้นาน
การปฏิบัติงานก่อนและหลังการอัดแท่งฯ
ควรจะดำเนินการดังนี้
|
 |
เตรียมกองวัสดุที่ผสมเสร็จแล้วไว้บนถาด
สำหรับกองวัตถุดิบ |
 |
เตรียมอุปกรณ์สำหรับรับ
แท่งเชื้อเพลิง ที่อัดออกมาได้
เช่น ใช้แผ่นสังกะสี
ที่เป็นลอนลูกฟูกเป็นตัวรับ
โดยอาจจะทำเป็นแคร่หรือขาตั้ง
หรือจะทำเป็นรางเลื่อนก็ได้ |
 |
เมื่อพร้อมแล้วจึงเปิดสวิทส์เดินเครื่อง
แล้วจึงป้อนวัตถุดิบลงในช่องป้อนโดยใช้
เศษไม้ช่วยเขี่ย |
 |
ก่อนหยุดเครื่องทุกครั้ง
ต้องปล่อยให้เครื่องเดินอัดแท่งเชื้อเพลิงออกมาให้หมด
อย่าปล่อยให้ตกค้างในกระบอกอัด |
 |
หลังการใช้งาน
จะต้องถอดเกลียวอัด, กระบอกรีด,
และท่อออกมาล้างทำความสะอาดทุกครั้ง |
 |
ตรวจเช็คและปรับระยะความตึงของสายพานให้เหมาะสมอยู่เสมอ |
 |
ตรวจอัดไข
หรือจาระบี เป็นระยะสม่ำเสมอ
หรืออย่างน้อยเดือนละครั้ง |
|
| กระบวนการอัดแท่งเชื้อเพลิงเขียว
|
-
กระบวนการอัดแท่งเชื้อเพลิงในโครงการนี้
ดังที่ได้กล่าวไว้แล้วจะใช้ชานอ้อยเน่าเปื่อย
หรือชาวบ้านเรียกขี้เป็ด
(ต่อไปนี้จะใช้คำเรียกเฉพาะชานอ้อย)
ซึ่งเป็นวัตถุดิบที่หาได้ง่าย
เสียค่าใช้จ่ายต่ำมาอัดแท่ง
โดยที่โรงงานน้ำตาลจะเปิดทำการช่วงประมาณเดือนมกราคมเรื่อยไป
ประมาณ 3 เดือนของทุกปี
ดังนั้นช่วงดังกล่าวจะต้องดำเนินการนำชานอ้อยมาเก็บไว้เพื่อใช้ผลิตแท่งเชื้อเพลิงตลอดปี
จากการทดลองอัดแท่งเชื้อเพลิงเขียวกับเครื่องมือ
พบว่า
ถ้าผสมชานอ้อยกับขุยมะพร้าว
(หาซื้อได้ง่าย-ราคาไม่สูง)
ในอัตราส่วนชานอ้อย : ขุยมะพร้าว
ตั้งแต่ 1:1, 2:1, 3:1, และ 4:1
จะสามารถผลิตแท่งอัดได้เร็วกว่าใช้ชานอ้อยล้วนๆ
รายละเอียดแสดงในตารางที่ 1
|
ตารางที่ 1
แสดงระยะเวลาของการอัดแท่งเชื้อเพลิงเขียวในอัตราส่วนผสมต่างๆ
|
| ส่วนผสม
|
ความยาวแท่งเชื้อเพลิง
(เมตร)
|
เวลาที่ใช้
(ประมาณ)
|
หมายเหตุ
|
| ชานอ้อย (100%)
|
1
|
3.5 นาที
|
ขนาดเส้นผ่า
ศูนย์กลาง
เท่ากัน
คือ 7 ซม.
|
| ชานอ้อย : ขุยมะพร้าว
(1 : 1 )
|
1
|
1.5 นาที
|
| ชานอ้อย : ขุยมะพร้าว
(2 : 1)
|
1
|
1.5 นาที
|
| ชานอ้อย : ขุยมะพร้าว
(3 : 1)
|
1
|
2 นาที
|
| ชานอ้อย : ขุยมะพร้าว
(4 : 1)
|
1
|
2 นาที
|
(แท่งอัดชื้น)
|
| ชานอ้อย : ขุยมะพร้าว
(5 : 1)
|
1
|
3 - 3.5 นาที
|
เป็นอัตราส่วนที่ไม่เหมาะสม
|
|
|
|
|
แต่ถ้าใช้ขุยมะพร้าวล้วนๆ
อัดแท่งจะไม่สามารถทำได้
ทั้งนี้จากการสังเกตพบว่าขุยมะพร้าวมีเส้นใยที่ยาวและแข็ง
ซึ่งจะพันรอบเกลียวในขณะอัดแท่ง
ถ้าหนาแน่นมากเข้า
เกลียวจะหยุดหมุน
สำหรับชานอ้อยถ้าละเอียดมากๆ
ก็จะมีปัญหาต่อการอัดเช่นเดียวกัน
การผสมชานอ้อยกับขุยมะพร้าว
ในอัตราส่วนที่ใช้ชานอ้อยสูงกว่าขุยมะพร้าว
เมื่อนำไปทดสอบประสิทธิภาพหรือระยะเวลาของการหุงต้มแล้ว
จะใช้เวลาต้มน้ำนานกว่าชานอ้อยล้วน
ๆ เพียง 1 - 2 นาที ในอัตราส่วนผสม
ชานอ้อย : ขุยมะพร้าว = 2 : 1
ดังแสดงในตารางที่ 2
ดังนั้นเพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายในการลงทุน
จึงต้องผสมขุยมะพร้าวในอัตราต่ำ
ๆ ทั้งนี้
เนื่องจากราคาของขุยมะพร้าวจะสูง
(ชานอ้อยจะได้มาจากโรงงานฟรี
แต่เพียงเสียค่าใช้จ่ายในการขนส่ง)
ในชั้นนี้
อัตราส่วนผสมที่แนะนำให้ผสมคือ
ชานอ้อย : ขุยมะพร้าว = 4 : 1
ซึ่งเวลาการต้มน้ำก็อยู่ในช่วง 21
ถึง 18 นาที (ดูตารางที่ 1 และ 2 ประกอบ
ถึงความเหมาะสมในอัตราส่วนผสม)
|
|
|
|
ตารางที่ 2
แสดงประสิทธิภาพ (ระยะเวลา)
การต้มน้ำของแท่งเชื้อเพลิงเขียวในอัตราส่วนผสมต่างๆ
| ส่วนผสม
|
ระยะเวลาเฉลี่ย
จนถึงน้ำเดือด (นาที)
|
หมายเหตุ
|
| ชานอ้อย (100%)
|
18
|
ทดลองกับเตาประสิทธิภาพสูงกรมป่าไม้
โดยใช้แท่งเชื้อเพลิงหนัก
(แห้ง) 600 กรัม
(หรือยาวประมาณ 30 ซม.)
|
| ชานอ้อย : ขุยมะพร้าว
(2 : 1 )
|
21
|
| ชานอ้อย : ขุยมะพร้าว
(1 : 1)
|
23
|
| ชานอ้อย : ขุยมะพร้าว
(1 : 2)
|
34
|
|
|
| ผลผลิตแท่งเชื้อเพลิงเขียว
|
|
ดังที่กล่าวไว้ในส่วนของระยะเวลาของการอัดแท่งเชื้อเพลิงเขียวในตารางที่
1
ทำให้ทราบถึงเวลาการผลิตสำหรับแท่งเชื้อเพลิง
100 เซนติเมตร (หรือ 1 เมตร)
และหลังจากตากแดดให้แท่งเชื้อเพลิงแห้งแล้ว
ชั่งน้ำหนักทำให้ทราบถึงผลผลิตเป็นน้ำหนักโดยแสดงในตารางที่
3
|
|
|
ตารางที่ 3
แสดงผลผลิตของแท่งเชื้อเพลิงเขียวในอัตราส่วนผสมต่าง
ๆ
|
|
ส่วนผสม
|
ปริมาณของแท่งเชื้อเพลิง
ต่อการอัด 60 นาที
|
น้ำหนักแห้งแท่งเชื้อเพลิง
เฉลี่ยต่อการอัด 60
นาที
|
| ชานอ้อย (100%)
|
1,700 ซม. (17 ม.)
|
25.5 กก.
|
| ชานอ้อย : ขุยมะพร้าว
(1 : 1 )
|
4,000 ซม. (40 ม.)
|
60.0 กก.
|
| ชานอ้อย : ขุยมะพร้าว
(2 : 1)
|
4,000 ซม. (40 ม.)
|
60.0 กก.
|
| ชานอ้อย : ขุยมะพร้าว
(3 : 1)
|
3,000 ซม. (30 ม.)
|
45.0 กก.
|
| ชานอ้อย : ขุยมะพร้าว
(4 : 1)
|
3,000 ซม. (30 ม.)
|
45.0 กก.
|
|
|
|
| ค่าความร้อนและความหนาแน่นของแท่งเชื้อเพลิงเขียว
|
|
จากการเอาแท่งเชื้อเพลิงเขียวไปทดสอบหาค่าความร้อนกับเครื่อง
Caloremeter Bomb
แล้วค่าที่ได้จากการใช้ชานอ้อยเน่าเปื่อยล้วนๆ
จะสูงกว่าที่ผสมกับขุยมะพร้าว
แต่จะต่ำกว่าของไม้ฟืนและถ่าน
ทั้งนี้เนื่องจากถ่านได้ผ่านขบวนการเผา
(Carbonization)
ซึ่งทำให้มีปริมาณคาร์บอนเสถียรสูงค่าความร้อนก็สูงตาม
(รายละเอียดดังแสดงตารางที่ 4)
แต่ทั้งนี้แท่งอัดเชื้อเพลิงเขียวก็ยังให้ค่าความร้อนสูง
ซึ่งสามารถต้มน้ำเดือดภายในเวลาประมาณ
18-34 นาที (จากตารางที่ 2) ในขณะที่ฟืน
(ไม้มะขามเทศ) ใช้เวลาเฉลี่ย 28
นาที และถ่าน (ไม้มะขามเทศ)
ใช้เวลาเฉลี่ย 36 นาที
|
|
|
ตารางที่ 4
แสดงค่าความร้อนของแท่งอัดเชื้อเพลิงเขียวเทียบกับฟืนและถ่าน
|
|
ส่วนผสม
|
ค่าความร้อน
(แคลอรี่/กรัม)
|
หมายเหตุ
|
| ชานอ้อย (100%)
|
3,172
|
วิเคราะห์ ณ ห้อง
ปฏิบัติการ
กรมป่าไม้ (2540)
|
| ชานอ้อย : ขุยมะพร้าว
(1 : 1)
|
3,050
|
| ชานอ้อย : ขุยมะพร้าว
(1 : 2)
|
2,975
|
| ฟืนไม้มะขามเทศ
|
4,721
|
รายงานวิจัยฯ วัฒนา
(2530)
|
| ถ่านไม้มะขามเทศ
|
7,391
|
|
|
|
|
สำหรับความหนาแน่น (Density)
ของแท่งเชื้อเพลิงเขียวที่ได้ทำการทดสอบ
โดยหาจากสูตรคำนวณ คือ
|
|
|
- ความหนาแน่น (D) =
น้ำหนัก (m) /
ปริมาตร (v)
กรัม/ ลบ.ซม.
|
|
|
|
ค่าที่ได้ของแท่งเชื้อเพลิงเขียว
ที่ทำด้วยชานอ้อยล้วนๆ
มีค่าสูงสุด
เทียบกับที่ผสมกับขุยมะพร้าวในอัตราส่วนต่างๆ
โดยมีค่าความหนาแน่นใกล้เคียงค่า
1 (ดังรายละเอียดตารางที่ 5)
|
|
|
- ตารางที่ 5
แสดงค่าความหนาแน่นของแท่งเชื้อเพลิงเขียว
ในอัตราส่วนผสมต่างๆ
|
|
ส่วนผสม
|
ค่าความหนาแน่น
(กรัม/ลูกบาศก์เซนติเมตร)
|
- หมายเหตุ
|
| ชานอ้อย (100%)
|
0.98
|
- คำนวณโดยใช้สูตร
- D = m
- v
-
|
| ชานอ้อย : ขุยมะพร้าว
(2 : 1 )
|
0.82
|
| ชานอ้อย : ขุยมะพร้าว
(1 : 1)
|
0.61
|
| ชานอ้อย : ขุยมะพร้าว
(1 : 2)
|
0.57
|
|
|
|
| การตากแห้ง
|
ในการอัดแท่งเชื้อเพลิงเขียวนั้น
จะใช้วัสดุที่มีความชื้นสูง
(สูงกว่า 100 เปอร์เซ็นต์)
ดังนั้นก่อนนำไปใช้ก็จะต้องทำให้แห้ง
วิธีการที่สะดวกและประหยัด
สำหรับชาวบ้านก็คือการตากแดดโดยตรง
อาจจะตากบนพื้นซีเมนต์
หรือบนสังกะสีลูกฟูก ฯลฯ
ก็นับว่าเป็นวิธีการที่ประหยัด
ซึ่งสำหรับโครงการนี้ก็ทำการทดลองตากแดดโดยตรงบนพื้นซีเมนต์
เป็นเวลา 2-3 วัน
ก็สามารถนำไปใช้ได้
นอกจากนี้ก็มีวิธีการตากหรือการทำให้แห้งหลายวิธี
นอกจากตากแดดโดยตรง คือ
- -
อบในตู้อบแสงอาทิตย์
- -
อบด้วยความร้อนจากเตาเผาขยะ
- -
อบด้วยความร้อนที่เหลือทิ้งจากโรงงานอุตสาหกรรม
- -
อบด้วยความร้อนจากเครื่องทำความร้อน
|
|
|
| การเก็บรักษาแท่งเชื้อเพลิงเขียว
|
|
การตัดให้เป็นแท่งเพื่อให้ดูสวยงามและสะดวกในการหีบห่อ
การตัดควรกระทำหลังตากแห้งเรียบร้อยแล้ว
การตัดอาจจะใช้มีดคมๆ
หรือใบมีดคัดเตอร์ตัดเป็นท่อนๆ
ตามต้องการ การตัดเป็นจำนวนมากๆ
จะใช้เครื่องตัดก็ได้
ถ้าต้องการประหยัดค่าใช้จ่ายและไม่ต้องการความสวยงามก็ใช้มือหักเอา |
|
การบรรจุหีบห่อโดยที่เชื้อเพลิงเขียวจะมีลักษณะโปร่ง
(porosity)
ดังนั้นถ้าเก็บไว้ในที่มีความชื้นสูง
จะทำให้แท่งเชื้อเพลิงมีราขึ้น
เหตุนี้จึงต้องเก็บไว้ในที่แห้ง
การใส่ถุงพลาสติกแล้ว
ซีลปากถุงก็จะช่วยได้มากจะใช้ถุงเล็กหรือถุงใหญ่ขึ้นอยู่กับปริมาณที่ต้องการเก็บไว้ใช้และความสะดวกที่มี
หากไม่สะดวกจะใช้เชือกผูกแท่งเชื้อเพลิงไว้เป็นมัดๆ
ก็ได้
ข้อสำคัญต้องเก็บไว้ในที่แห้งที่ฝนหรือละอองน้ำไม่กระเซนเข้าไป |
|
|
| การนำแท่งเชื้อเพลิงเขียวไปใช้ในการหุงต้ม
|

การใช้แท่งเชื้อเพลิงเขียวในการหุงต้ม
|
หักแท่งเชื้อเพลิงให้เป็นท่อนสั้นๆ
มีความยาวสัก 1 นิ้ว จำนวน 3-4 ท่อน
จุ่มลงในแอลกอฮอล์จุดไฟ
แล้ววางเรียงในเตาเพื่อใช้เป็นเชื้อติดไฟ
(starter)
เอาแท่งเชื้อเพลิงที่ไม่ได้จุ่มแอลกอฮอล์วางซ้อนเป็นชั้นๆ
ในเตาแล้วจึงจุดไฟ
หรือจะใช้น้ำมันแก๊สโซลีน
เศษกระดาษหรือเศษฟืนเล็กๆ
เป็นเชื้อติดไฟก็ย่อมทำได้
แต่ถ้าใช้แอลกอฮอล์จะจุดไฟได้เร็วทันใจเช่นเดียวกับแก๊สหุงต้ม
และไม่มีควันรบกวน
เตาที่ใช้
ถ้าใช้เตาพื้นบ้านการระบายอากาศจะน้อยไป
เพราะรังผึ้งมีขนาดเล็กไปและเตาอาจจะเตี้ยไป
เตาที่จะใช้กับเชื้อเพลิงเขียวควรเป็นเตาที่มีทรงสูงและการระบายอากาศดี
จะเป็นเตาดินหรือเตาโลหะก็ได้
เช่น เตา (ฟืน)
ประสิทธิภาพสูงกรมป่าไม้
หากเกรงว่าจะมีควันรบกวนก็อาจจะติดปล่องที่ระบายควันช่วย
โดยเฉพาะเตาที่มีปล่องที่ถอดได้
การเก็บรักษาแท่งเชื้อเพลิงไว้ใช้เมื่อแท่งเชื้อเพลิงแห้งดีแล้ว
หากประสงค์จะเก็บไว้ใช้นานๆ
ควรเก็บใส่ถุงพลาสติกหรือกระสอบแล้วปิดปากให้แน่น
เพื่อป้องกันความชื้นเข้า
โดยที่เชื้อเพลิงนี้มีลักษณะค่อนข้างโปร่ง
เมื่อเก็บไว้ในที่ชื้น
หรือที่มีละอองฝนประพรม
เชื้อเพลิงจะดูดความชื้นเข้าไปทำให้เกิดเชื้อรา
ทำให้จุดไฟไม่ดีและมีควัน
ดังนั้นควรเก็บไว้ในที่แห้ง |
|
|
|
| คุณสมบัติโดยทั่วไปของแท่งเชื้อเพลิงเขียว
|
|
โดยทั่วไปเชื้อเพลิงเขียวมีคุณลักษณะคล้ายฟืน
มีค่าความร้อนต่ำกว่าถ่านมาก
เวลาจุดมีควันมาก
ถ้าใช้กับเตาปล่องจะช่วยลดควัน
เชื้อเพลิงเขียวที่ทำจากเศษพืชเน่าเปื่อย
เช่น ชานอ้อยเน่าเปื่อย
เป็นเชื้อเพลิงเขียวที่มีคุณภาพดี
หากผสมผงถ่านที่เหลือทิ้งสักเล็กน้อย
จะช่วยทำให้มีคุณภาพสูงขึ้นและมีประสิทธิภาพไม่แพ้ถ่านหรือจะดีกว่าถ่านเสียอีก
แต่ทั้งนี้จะต้องขึ้นอยู่กับความเข้าใจของผู้ผลิตและผู้ใช้เชื้อเพลิงในการปรับปรุงเทคนิคเล็กๆ
น้อยๆ
|
|
เนื่องจากแท่งเชื้อเพลิงเขียวมีค่าความหนาแน่น
(Density) ใกล้เคียง 1
ดังนั้นสามารถนำไปเผาเป็นถ่านได้
(Carbonization)
โดยจากการทดลองเผาแบบแกลบกลบ
ใช้เวลาประมาณ 20-24 ชั่วโมง (1 วัน)
และถ่านที่ได้สามารถนำไปเป็นเชื้อเพลิงได้
และให้ความร้อนได้สูง
|
|
เชื้อเพลิงเขียวที่ใช้วัชพืช
(ไมยราบยักษ์) สับเป็นชิ้นเล็กๆ
ผสมกับลิกไนท์ผง 20-30%
จะเป็นเชื้อเพลิงที่เหมาะกับโรงบ่มยาสูบ
หากใช้ลิกไนท์ผงล้วนๆ อัดแท่ง
เถ้าจะจับตัวเป็นก้อนแตกยาก
หากผสมชีวมวลจะช่วยให้เถ้าแตกง่าย
(วัฒนา, 2529)
|
|
|
- การนำแท่งเชื้อเพลิงเขียวไปเผาเพื่อใช้ในรูปถ่าน
|
| |
| ข้อได้เปรียบของแท่งเชื้อเพลิงเขียวเทียบกับฟืนและถ่าน |
-
1.
ไม่ต้องตัดไม้ทำลายป่ามาทำเป็นฟืนและเผาถ่าน
การใช้เชื้อเพลิงเขียวซึ่งทำจากชานอ้อยเน่าเปื่อย
และเศษพืช ฯลฯ ทดแทนฟืน และถ่าน
ทำให้มีโอกาสได้ช่วยสงวนป่าไม้ของชาติไว้ให้ลูกหลาน
-
2.
การจุดติดไฟทำได้ง่ายกว่าฟืนและถ่าน
เชื้อเพลิงเขียวจะใช้เวลาในการเรียงเชื้อเพลิงและจุดติดไฟภายใน
1 นาที ซึ่งฟืนและถ่านทำไม่ได้
-
3. ได้เชื้อเพลิงสะอาด
การเผาไหม้มีประสิทธิภาพสูง
การเผาไหม้จึงดีกว่าฟืนและถ่าน
นอกจากนี้ยังสามารถใช้ทดแทนหรือเสริมแก๊สหุงต้มได้ในบางโอกาสและที่สำคัญคือ
เชื้อเพลิงเขียวไม่ไวไฟ (unflamable)
ดังนั้น
จึงไม่มีอันตรายจากการระเบิด
เช่น
ถังแก๊สหุงต้มที่ปรากฏความสูญเสียอยู่บ่อยๆ
-
4.
ทำใช้ได้สะดวกกว่าหาฟืนและเผาถ่านเพราะวัสดุโดยเฉพาะชานอ้อยเน่าเปื่อย
และวัชพืชหาได้ง่ายและราคาต่ำ
ถ้าท่านพร้อมที่จะทำ
-
5.
ช่วยทำลายวัชพืชบกที่รบกวนพื้นที่เกษตรกรรม
เช่น หญ้าขจรจบ ไมยราบยักษ์
วัชพืชที่อยู่ได้ทั้งบนบกและในน้ำ
เช่น โสน กกธูป
วัชพืชน้ำที่รบกวนแหล่งเลี้ยงปลา
ปิดกั้นทางคมนาคม ทางน้ำ
ทำให้คลองระบายน้ำตื้นเขินและปิดการระบายน้ำ
เช่น ผักตบชวา
-
6.
มีศักยภาพที่จะทำเป็นเชื้อเพลิงที่มีกลิ่นหอมได้
ถ้าเลือกใช้พืช เช่น ใบเตย
ทำเป็นเชื้อเพลิง
ย่างเนื้อให้มีรสหอม เป็นต้น
-
7. มีราคาถูกกว่าฟืนและถ่าน
|
-
|
| เอกสารอ้างอิง |
- กรมป่าไม้.2539.
สถิติการป่าไม้ของประเทศไทย ปี
2539. ส่วนศูนย์ข้อมูลกลาง,
สำนักสารสนเทศ,กรมป่าไม้.
|
- กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน.2539.
รายงานพลังงานของประเทศไทย 2539.
กระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม.
|
- วัฒนา
เสถียรสวัสดิ์. 2529.
รายงานวิจัยเรื่องเชื้อเพลิงเขียว
(โครงการเชื้อเพลิงแข็ง.)
ภาควิชาพืชสวน
-
คณะเกษตร
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
กรุงเทพฯ.
|
- วัฒนา
เสถียรสวัสดิ์. 2530.
รายงานวิจัยโครงการแท่งเชื้อเพลิงแข็ง.
ภาควิชาพืชสวน คณะเกษตร
-
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์.
กรุงเทพฯ.
|
- สำนักงานพัฒนาชุมชนอำเภอท่าม่วง.
2538.
สรุปผลการดำเนินงานพัฒนาชุมชนประจำปี
2538. จังหวัดกาญจนบุรี.
|
- สำนักงานสถิติจังหวัดกาญจนบุรี.
2539.
สมุดรายงานสถิติจังหวัดกาญจนบุรี
พ.ศ.2539. สำนักงานสถิติ
-
จังหวัดกาญจนบุรี,
สำนักงานสถิติแห่งชาติ.
สำนักนายกรัฐมนตรี.
|
-
|