รวบรวมโดย สฤษฏ์ แสงอรัญ
นิยามและความหมายการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์
การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ เป็นแนวความคิดที่พึ่งปรากฏขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ และยังมีการใช้คำภาษาอังกฤษอื่นๆที่ให้ความหมายเช่นเดียวกัน ที่สำคัญได้แก่ Nature Tourism, Biotourism, Green Tourism เป็นต้น อย่างไรก็ตาม การท่องเที่ยวดังกล่าวล้วนแต่เป็นการบ่งบอกถึง การท่องเที่ยวแบบยั่งยืน (sustainable tourism) ซึ่งจากการประชุม Globe 1990 ณ ประเทศแคนาดาได้ให้คำจำกัดความของการท่องเที่ยว แบบยั่งยืนว่า "การพัฒนาที่สามารถตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยวและผู้เป็นเจ้าของท้องถิ่นในปัจจุบัน โดยมีการปกป้องและสงวน รักษาโอกาสต่างๆของอนุชนรุ่นหลังด้วย การท่องเที่ยวนี้มีความหมายรวมถึงการจัดการทรัพยากรเพื่อตอบสนองความจำเป็นทางเศรษฐกิจสังคม และความงามทางสุนทรียภาพ ในขณะที่สามารถรักษาเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมและระบบนิเวศด้วย" โดยมีลักษณะที่สำคัญคือ เป็นการท่องเที่ยว ที่ดำเนินการภายใต้ขีดจำกัดความสามารถของธรรมชาติ และต้องตระหนักถึงการมีส่วนร่วมของประชากร ชุมชน ขนบธรรมเนียม ประเพณี ที่มีต่อขบวนการท่องเที่ยว อีกทั้งต้องยอมรับให้ประชาชนทุกส่วนได้รับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการท่องเที่ยวอย่างเสมอภาคเท่าเทียม กัน และต้องชี้นำภายใต้ความปรารถนาของประชาชนท้องถิ่นและชุมชนในพื้นที่ท่องเที่ยวนั้นๆ (สถานบันวิจัยวิทยาศาสตร์และสิ่งแวดล้อม แห่งประเทศไทย, 2539) สำหรับความหมายของการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ได้มีบุคคลหรือองค์กรต่างๆให้ความหมายและคำจำกัดความไว้มากมาย เป็นที่ยอมรับในระดับหนึ่งและได้รับการอ้างอิงถึงเสมอ ที่สำคัญมีดังนี้
Ceballos Lascurain (1991) อาจจะเป็นคนแรกที่ได้ให้คำจำกัดความของการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ว่า "เป็นการท่องเที่ยว รูปแบบหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางไปยังแหล่งธรรมชาติ โดยไม่ให้เกิดการรบกวนหรือทำความเสียหายแก่ธรรมชาติ แต่มีวัตถุประสงค์ เพื่อชื่นชม ศึกษาเรียนรู้ และเพลิดเพลินไปกับทัศนียภาพ พืชพรรณ และสัตว์ป่า ตลอดจนลักษณะทางวัฒนธรรมที่ปรากฏในแหล่งธรรมชาติ เหล่านั้น"
Elizabeth Boo (1991) ให้คำจำกัดความการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ว่า "การท่องเที่ยวแบบอิงธรรมชาติที่เอื้อประโยขน์ต่อ การอนุรักษ์ อันเนื่องมาจากการมีเงินทุนสำหรับการปกป้องดูแลรักษาพื้นที่ มีการสร้างงานให้กับชุมชนหรือท้องถิ่น พร้อมทั้งให้การศึกษาและ สร้างจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อม"
The Ecotourism Society (1991) ได้ให้คำจำกัดความการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ว่า "การเดินทางไปเยือนแหล่งธรรมชาติ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการเรียนรู้ถึงวัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ด้วยความระมัดระวัง ไม่ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหรือทำลายคุณค่าของ ระบบนิเวศและในขณะเดียวกันก็ช่วยสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจที่ส่งผลให้การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ เกิดประโยชน์ต่อประชาชนท้องถิ่น"
Western (1993) ได้ปรับปรุงคำจำกัดความการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ของ The Ecotourism Society ให้สั้นและกระทัดรัด แต่มีความหมายสมบูรณ์มากขึ้นคือ "การเดินทางท่องเที่ยวที่รับผิดชอบต่อแหล่งธรรมชาติซึ่งมีการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และทำให้ชีวิตความเป็น อยู่ของประชาชนท้องถิ่นดีขึ้น"
The Commonwealt Department of Tourism (1994) ได้ให้คำจำกัดความการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์คือ การท่องเที่ยว ธรรมชาติที่ครอบคลุมถึงสาระด้านการศึกษา การเข้าใจธรรมชาติสิ่งแวดล้อม และการจัดการเพื่อรักษาระบบนิเวศให้ยั่งยืน คำว่า ธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมยังครอบคลุมถึงขนบธรรมเนียมประเพณีท้องถิ่นด้วย ส่วนคำว่าการรักษาระบบนิเวศให้ยั่งยืนนั้นหมายถึง การปันผลประโยชน์ต่างๆ กลับสู่ชุมชนท้องถิ่นและการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ
เสรี เวชบุษกร (2538) ให้คำจำกัดความการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ว่า "การท่องเที่ยวที่มีความรับผิดชอบต่อแหล่งท่องเที่ยว ที่เป็นธรรมชาติและต่อสิ่งแวดล้อมทางสังคม ซึ่งหมายรวมถึงวัฒนธรรมของชุมชนในท้องถิ่น ตลอดจนโบราณสถาน โบราณวัตถุที่มีอยู่ใน ท้องถิ่นด้วย"
จากการให้ความหมายและคำจำกัดความการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ดังกล่าวข้างต้น พอจะสรุปได้ว่าการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ หมายถึง การท่องเที่ยวรูปแบบหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางไปยังแหล่งธรรมชาติ และแหล่งวัฒนธรรมอย่างมีความรับผิดชอบ โดยไม่ก่อให้เกิด การรบกวนหรือทำความเสียหายแก่ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม แต่มีวัถตุประสงค์อย่างมุ่งมั่นเพื่อชื่นชม ศึกษา เรียนรู้ และเพลิดเพลินไปกับทัศนียภาพ พืชพรรณ และสัตว์ป่า ตลอดจนลักษณะทางวัฒนธรรมที่ปรากฏในแหล่งธรรมชาตินั้น อีกทั้งช่วยสร้างโอกาส ทางเศรษฐกิจที่ส่งผลให้การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมเกิดประโยชน์ต่อชุมชนท้องถิ่นด้วย
แนวคิดพื้นฐานของการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์
สุรเชษฎ์
เชษฐมาส และดรรชนี เอมพันธุ์ (2538ข) ;
สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย
(2539) ได้กล่าวถึงแนวคิด
ที่เป็นพื้นฐานหรือหลักการของการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์
โดยสรุปได้ดังนี้
1.
เป็นการท่องเที่ยวในแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติ
(nature-based) รวมถึงแหล่งวัฒนธรรม
และประวัติศาสตร์
ซึ่งมีความเป็นเอกลักษณ์
เฉพาะถิ่น (identical or uniqe)
และทรงคุณค่าในพื้นที่นั้น
2.
เป็นการท่องเที่ยวอย่างมีความรับผิดชอบ
(responsibly travel)
และมีการจัดการอย่างยั่งยืน
(sustainable management) ไม่ก่อให้เกิดผลกระทบ
หรือส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมค่อนข้างต่ำ
(no or low impact)
และช่วยส่งเสริมการรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม
ของแหล่งท่องเที่ยวให้ยั่งยืนตลอดไป
3.
เป็นการท่องเที่ยวที่มีกระบวนการเรียนรู้
(learning) และการให้การศึกษา (education)
เกี่ยวกับระบบนิเวศ
และสิ่งแวดล้อมของ
แหล่งท่องเที่ยวเพื่อเพิ่มพูนความรู้
(knowledge) ความประทับใจ (appreciation)
และประสบการณ์ (experience) ที่มีคุณค่า
ซึ่งจะสร้างความตระหนักและจิตสำนึกที่ถูกต้องทางด้านการอนุรักษ์
ทั้งต่อนักท่องเที่ยว
ประชาชนท้องถิ่น
ตลอดจนผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้อง
4.
เป็นการท่องเที่ยวที่นำไปสู่การกระจายรายได้
ทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับประเทศ
โดยคำนึงถึงการมีส่วนร่วมของชุมชนท้องถิ่น
(involvement of local commuity or people participation)
ในภาคบริการต่างๆ
เพื่อก่อให้เกิดผลประโยชน์ต่อท้องถิ่น
(local benefit)
มากกว่าการท่องเที่ยวที่เคยส่งเสริมกันมาตั้งแต่อดีตจนกระทั่งปัจจุบันที่เรียกว่า
conventional tourism ซึ่งมักจะเป็น
การท่องเที่ยวแบบหมู่คณะใหญ่ๆ (mass
tourism)
ที่ผลประโยชน์ส่วนใหญ่มักจะตกอยู่กับผู้ประกอบการ
หรือบริษัทนำเที่ยวเท่านั้น
องค์ประกอบของการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์
ดรรชนี
เอมพันธุ์ และสุรเชษฎ์ เชษฐมาส (2539)
กล่าวว่า
โดยทั่วไปแล้วการวางแผนการท่องเที่ยวซึ่งรวมไปไปถึงการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์
ด้วยนั้น
จะเกี่ยวข้องกับองค์ประกอบสำคัญ
4 ประการ ดังนี้
1.ทรัพยากรการท่องเที่ยว
(natural resource tourism)
การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์เกี่ยวข้องกับธรรมชาติที่ยังดำรงไว้ซึ่งสภาพดังเดิมของระบบนิเวศ
(first hand ecosystem) และวัฒนธรรมท้องถิ่น
ที่มีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะถิ่น
แหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ส่วนใหญ่
จึงมักปรากฏอยู่ในพื้นที่พื้นที่อนุรักษ์
เช่น อุทยานแห่งชาติ
เขตรักษาพันธุ์ สัตว์ป่า
และอุทยานประวัติศาสตร์ เป็นต้น
สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย
(2539)
กล่าวถึงแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติ
ว่าเป็นแหล่งที่มีจุดเด่นเป็นสิ่งที่ดึงดูดใจนักท่องเที่ยว
(nature attractions) และตัดขาดจากโลกภายนอก
(solitude) ซึ่งนักท่องเที่ยวจะไม่ได้
สัมผัสที่บ้าน
นอกจากนี้ยังได้ให้ความหมายของทรัพยากรแหล่งท่องเที่ยวว่า
หมายถึงแหล่งท่องเที่ยวที่เป็นจุดหมาย
(destination) ของการท่องเที่ยว
ซึ่งหมายถึงพื้นที่ที่รองรับนักท่องเที่ยว
พื้นที่แหล่งท่องเที่ยวจะมีทรัพยากรที่เป็นสิ่งดึงดูดใจนักท่องเที่ยว
ความดึงดูดใจ
เหล่านั้นอาจเป็นความดึงดูดใจของนักท่องเที่ยวประเภทใดประเภทหนึ่ง
แต่อาจไม่เป็นสิ่งดึงดูดใจของนักท่องเที่ยวประเภทอื่น
ดังนั้นสภาพ
ทรัพยากรจึงมีความสัมพันธ์โดยตรงกับตลาดการท่องเที่ยว
นอกจากความดึงดูดใจในทรัพยากรแล้ว
ในบางพื้นที่ยังมีกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว
ดังนั้น
ทรัพยากรแหล่งท่องเที่ยวจึงหมายรวมถึงศักยภาพในการประกอบกิจกรรมของนักท่องเที่ยวด้วย
โดยได้แบ่งแหล่ง
ท่องเที่ยวออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ๆ
คือ แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ
(nature destination)
และแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม
(cultural destination)
ซึ่งรวมเอาแหล่งท่องเที่ยวศาสนา
ประวัติศาสตร์ และโบราณคดี (historical,
archaeological and regions destination)
และแหล่งท่องเที่ยวศิลป
วัฒนธรรม และประเพณี (art, culture and traditional
destinations) เข้าไว้ด้วยกัน
ดังนั้น หากมองการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์เป็นอุตสาหกรรมบริการอย่างหนึ่ง แหล่งท่องเที่ยวดังกล่าวข้างต้นจัดได้ว่าเป็นวัตถุดิบเพื่อรองรับ การท่องเที่ยว และเป็นวัตถุดิบประเภทใช้แล้วไม่หมดไป หรือสูญหายหากมีการควบคุมป้องกันด้วยการวางแผนอย่างเป็นระบบ และนำไปสู่การ ปฏิบัติอย่างจริงจังและต่อเนื่อง ซึ่งจะเป็นการสนับสนุนให้แหล่งท่องเที่ยว ยังประโยชน์เพื่อการท่องเที่ยวได้อย่างยั่งยืนโดยไม่เสื่อมโทรมลงไป ทั้งยังไม่ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศจนเกินขีดความสามารถของระบบที่จะรองรับได้ (carrying capacity)
2.
นักท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์
สถาบันวิจัยเพื่อพัฒนาประเทศไทย
(2540)
ระบุว่านักท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์สามารถจำแนกได้เป็น
4 ประเภทด้วยกันคือ
ประเภทที่
1 นักท่องเที่ยวแบบหัวกระทิ (hard-core
nature tourists)
เป็นนักท่องเที่ยวที่เน้นความสำคัญในการศึกษาค้นคว้าขณะ
ที่เที่ยวชมธรรมชาติ
ประเภทที่
2
นักท่องเที่ยวธรรมชาติแบบอุทิศตน
(dedicated nature tourists) เป็นนักท่องเที่ยวที่เน้นเจาะจงไปเที่ยวสถานที่
ธรรมชาติโดยเฉพาะ
เพื่อจะได้รู้ได้เข้าใจในธรรมชาติหรือประเพณีท้องถิ่น
ประเภทที่
3 นักท่องเที่ยวธรรมชาติเป็นหลัก
(mainstream nature tourists)
เป็นนักท่องเที่ยวที่ชอบไปสถานที่แปลกๆ
ที่ไม่เคยไปมาก่อน เช่น
ไปเยือนลุ่มน้ำอเมซอน (Amazon)
อุทยานกอริลาในรวันดา (Rawanda Gorilla Park)
หรือจุดหมายปลายทางอื่นๆ
ที่เป็นการริเริ่มสำหรับโปรแกรมท่องเที่ยวพิเศษ
ประเภทที่
4 นักท่องเที่ยวธรรมชาติตามโอกาส
(casual nature tourists) เป็นนักท่องเที่ยวที่บังเอิญต้องไปชมธรรมชาติ
เพราะเป็นส่วนหนึ่งของโปรแกรมท่องเที่ยวที่ตนได้เลือกไป
นอกจากนี้
สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย,
2539
ได้กล่าวถึงลักษณะของนักท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ว่า
จะต้องเป็นนักท่องเที่ยวที่มีพฤติกรรมที่เหมาะสมกับวัตถุประสงค์ในการศึกษาหาความรู้
และประสบการณ์
เพื่อเสริมสร้างจิตสำนึกใน
การอนุรักษ์ธรรมชาต
3.การตลาด
การตลาดนับเป็นส่วนสำคัญในการชักจูงนักท่องเที่ยวให้ไปท่องเที่ยว
โดยเป็นสื่อกลางระหว่างนักท่องเที่ยว
ผู้ประกอบการ
และแหล่งท่องเที่ยว
ซึ่งในเชิงการตลาดจะต้องทำความเข้าใจให้ชัดเจนว่า
การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์
มีลักษณะอย่างไร
โดยการให้ข้อมูลและสิ่งที่คาดหวังจากการท่องเที่ยว
(expectation)
อย่างถูกต้องแก่นักท่องเที่ยว
เพื่อเป็นการช่วยให้นักท่องเที่ยวตัดสินใจว่า
รูปแบบของการท่องเที่ยวในลักษณะเช่นนี้เหมาะสม
กับความสนใจ
และตรงตามความต้องการของตนเองหรือไม่
และสามารถยอมรับกฏ
หรือกติกาของการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ได้หรือไม่
ดังนั้น
จึงเห็นได้ว่าการตลาดเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการเลือกสรรประเภทและคุณภาพของนักท่องเที่ยว
เพื่อส่งเสริมสนับสนุน
การท่องเที่ยวในเชิงคุณภาพ (qualitative
tourism)
มากกว่าการท่องเที่ยวในเชิงปริมาณ
(quantitative tourism) อันจะเป็นหนทาง
นำไปสู่การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน
ซึ่งส่วนใหญ่งานด้านการส่งเสริมการตลาดเป็นหน้าที่ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
(ดรรชนี เอมพันธุ์ และสุรเชษฎ์
เชษฐมาส, 2539)
4. การบริการ
การท่องเที่ยวซึ่งรวมถึงการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์
ต้องการสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ
ที่จำเป็นต่อการสนองความต้องการของนักท่องเที่ยว
ในขณะที่มีกิจกรรมการท่องเที่ยว
แต่การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์นั้นต้องการบริการที่เน้นการให้ข้อมูลข่าวสาร
และการบริการเพื่อให้นักท่องเที่ยว
ได้รับประสบการณ์
ความรู้ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับธรรมชาติและวัฒนธรรมท้องถิ่นท้องถิ่น
เช่น
บริการด้านสื่อความหมายธรรมชาติ
การมีส่วนร่วมของประชาชนท้องถิ่นในภาคบริการ
ซึ่งได้แก่
การจัดที่พักที่สอดคล้องกลมกลืนกับธรรมชาติและวัฒนธรรมท้องถิ่น
(ecolodge)
เป็นมัคคุเทศก์นำทางในการเดินป่า
เป็นต้น
กิจกรรมที่สอดคล้องกับการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์
กิจกรรมท่องเที่ยวในแหล่งธรรมชาติและแหล่งวัฒนธรรม นับได้ว่ามีความหลากหลาย ซึ่งกิจกรรมบางประเภทอาจมีลักษณะที่บ่งชี้ว่าเป็น การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ในขณะที่บางกิจกรรมอาจมีความก่ำกึ่ง หรือคาบเกี่ยว ซึ่งต้องพิจารณาถึงองค์ประกอบ วัตถุประสงค์ในการปฏิบัติ กิจกรรม และการให้บริการว่ามุ่งเน้นอะไร และอย่างไร เช่น เพื่อพักผ่อนหย่อนใจ ศึกษาหาความรู้ ผจญภัย กีฬาสนุกสนาน เพื่อความบันเทิง สัมผัสองค์ประกอบของแหล่งท่องเที่ยว แลกเปลี่ยนและถ่ายทอดประสบการณ์ เป็นต้น
ดรรชนี
เอมพันธุ์ และสุรเชษฎ์ เชษฐมาส (2539)
กล่าวว่า
กิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์จะต้องมีเรื่องของการเรียนรู้
และได้รับ
ประสบการณ์เกี่ยวกับธรรมชาติเข้ามาเกี่ยวข้อง
ซึ่งศูนย์วิจัยป่าไม้ (2538)
ได้แบ่งกลุ่มกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์
ออกเป็น 3 กลุ่ม
ซึ่งมีทั้งกิจกรรมหลัก
และกิจกรรมเสริม คือ
-
กิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์
(ecotourism activities) เป็นกิจกรรมหลัก
-
กิจกรรมท่องเที่ยวที่เน้นการได้ใกล้ชิดชื่นชมธรรมชาติ
-
กิจกรรมท่องเที่ยวที่เน้นการผจญภัยตื่นเต้นท้าทายกับธรรมชาติ
(adventurous recreational activities) เป็นกิจกรรมเสริม
ซึ่งจะต้องเป็นกิจกรรมที่สอดคล้องและไปด้วยกันได้ดีกับกิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์
กล่าวคือ
เป็นกิจกรรมที่กระทำในพื้นที่ธรรมชาติ
มีการจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยวต่อกลุ่มต่อกิจกรรม
ทั้งนี้
เพื่อไม่สร้างผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมธรรมชาติ
1.กิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์
ได้แก่ การเดินป่า (hiking/ trekking)
กิจกรรมศึกษาธรรมชาติ (nature education)
กิจกรรมถ่ายรูปธรรมชาติ
บันทึกเทปวีดีโอ
เทปเสียงธรรมชาติ (nature photography video taping and
sound of nature audio taping)
กิจกรรมส่องสัตว์/ดูนก (animal/bird watching)
กิจกรรมศึกษา/เที่ยวถ้ำ (cave exploring/ visitig)
กิจกรรมศึกษา
ท้องฟ้าและดาราศาสตร์ (sky interpretation)
กิจกรรมล่องเรือศึกษาธรรมชาติ (boat
sightseeing) กิจกรรมพายเรือแคนู (canoeing)/
เรือคะยัค (kayak) / เรือบด (rowboating)/ เรือใบ
(sailboating)
กิจกรมดำน้ำชมปะการังน้ำตื้น (snorkle
or skiln diving) และกิจกรรม ดำน้ำลึก (scuba diving)
2.กิจกรรมท่องเที่ยวประเภทชื่นชมธรรมชาติและกิจกรรมท่องเที่ยวประเภทตื่นเต้นผจญภัยท้าทายกับธรรมชาติ
ได้แก่ กิจกรรมชม
ทิวทัศน์ธรรมชาติในบรรยกาศที่สงบ
(relaxing)
กิจกรรมขี่จักรยานตามเส้นทางธรรมชาติ
(terrain/ mountain biking) กิจกรรมปีน/ไต่เขา (rock/
mountain climbing) กิจกรรมพักแรมด้วยเต้น (tent
camping) กิจกรรมเครื่องร่อนขนาดเล็ก
(hang glider) กิจกรรม ล่องแพยาง/ไม้ไผ่ (white
water rafting)
กิจกรรมพักผ่อนรับประทานอาหาร
(picnicking) กิจกรรมเที่ยวน้ำตก (waterfall visits/
exploring) และ กิจกรรมวินด์เซิร์ฟ (wind surfing)