การตรวจหาไฟด้วยดาวเทียม
เทคโนโลยีการตรวจหาไฟจากระยะไกลโดยใช้อุปกรณ์การตรวจที่ติดตั้งอยู่บนดาวเทียม (Spaceborne remote sensing technology) เริ่มเข้ามามีบทบาทในการตรวจหาไฟเป็นอย่างมาก ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ทั้งนี้เนื่องจากสามารถตรวจการณ์พื้นที่ได้อย่างกว้างขวางทั่วประเทศ ทั่วภูมิภาค และทั่วโลก ได้พร้อมกันอย่างรวดเร็ว
1.หลักการตรวจหาไฟด้วยดาวเทียม
หลักการตรวจหาไฟโดยใช้ดาวเทียม จะอาศัยอุปกรณ์การตรวจวัดคลื่นรังสีความร้อนที่ติดตั้งอยู่บนดาวเทียม ( เช่น เครื่อง AVHRR, The Advanced Very High-Resolution Radiometer ที่ติดตั้งอยู่บนดาวเทียม NOAA หรือเครื่อง VISSR, Visible and Infrared Spin Scan Radiometer ที่ติดตั้งอยู่บนดาวเทียม HIMAWARI) ทำการตรวจการณ์บริเวณบนผิวโลกที่มีอุณหภูมิสูงกว่าปกติ (Hot spot) ซึ่งบริเวณดังกล่าวจะมีการแผ่รังสีความร้อน (Infrared, IR) ออกมามากกว่าปกติ Hot spot ที่ตรวจพบจึงเป็นบริเวณบนผิวโลกที่คาดว่ากำลังเกิดไฟป่า อย่างไรก็ตามหลังจากตรวจพบ Hot spot แล้วจะต้องผ่านกระบวนการพิสูจน์ทราบอีกครั้งหนึ่งเพื่อยืนยันว่า Hot spot นั้น เป็นบริเวณที่เกิดไฟป่าจริงๆ โดยตรวจสอบว่าพื้นที่ที่พบ Hot spotนั้น เป็นพื้นที่ป่าหรือไม่ หรือทำการตรวจสอบทางภาคพื้นดิน (Ground check)2. การใช้ดาวเทียม NOAA ในการตรวจหาไฟ
ในปัจจุบันดาวเทียมที่นิยมใช้ในการตรวจหาไฟ ได้แก่ดาวเทียม GOES และดาวเทียมในตระกูล NOAA ซึ่งเป็นดาวเทียมทางอุตุนิยมวิทยาและการสำรวจทรัพยากรธรรมชาติ โดยดาวเทียม NOAA นี้จะโคจรรอบโลกที่ระดับความสูงประมาณ 850 กิโลเมตร และโคจรกลับมาที่จุดเดิมในทุกๆ 100 นาที ทำให้สามารถตรวจหาไฟในจุดเดิมได้ในทุกๆ 100 นาทีด้วยเช่นกัน โดยอุปกรณ์ตรวจวัดคลื่นรังสีความร้อนที่ติดตั้งอยู่บนดาวเทียม NOAA ซึ่งเรียกว่า AVHRR นี้สามารถตรวจวัดพื้นที่ที่เล็กที่สุด (Pixel) ได้เท่ากับ 1.21 ตารางกิโลเมตร หมายความว่าพื้นที่ที่เกิดไฟป่าจะต้องมีเนื้อที่อย่างน้อยที่สุด 1.21 ตารางกิโลเมตร ดาวเทียม NOAA จึงจะสามารถตรวจพบไฟได้ ซึ่งในทางปฏิบัติหากปล่อยให้ไฟลุกลามจนมีขนาดใหญ่กินพื้นที่ถึง 1.21 ตารางกิโลเมตร จึงค่อยตรวจพบ จะเป็นการไม่ทันการณ์ เพราะจะเกิดความเสียหายต่อพื้นที่ป่าเป็นอย่างมาก การควบคุมไฟจะยากลำบาก กินเวลานาน และเสียค่าใช้จ่ายสูง อย่างไรก็ตามข้อมูลการตรวจหาไฟจากดาวเทียม NOAA จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการประเมินสถานการณ์และวางแผนควบคุมไฟป่าในภาพรวม ในปัจจุบัน มีการใช้ดาวเทียม NOAA ในการตรวจหาไฟในหลายภูมิภาคของโลก (ภาพที่ 5.6) สำหรับในภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ มีเพียงประเทศอินโดนีเซียประเทศเดียวที่มีการตรวจหาไฟด้วยระบบดังกล่าว ภายใต้ความช่วยเหลือจากองค์กรระหว่างประเทศ เช่น โครงการของ GTZ ที่ตรวจหาไฟในจังหวัดกาลิมันตันตะวันออก โครงการของ JICA และโครงการของ EU ที่ตรวจหาไฟในเกาะสุมาตรา เป็นต้น (Ueda, 1998)ภาพที่ 5.6 ภาพถ่ายดาวเทียมแสดงตำแหน่งที่เกิดไฟป่า
3. การตรวจหาไฟด้วยดาวเทียมอื่นๆ ที่มีความละเอียดกว่า ได้มีความพยายามใช้ดาวเทียมอื่นๆ ที่มีความละเอียดในการตรวจหาไฟ (Higher resolution) มากกว่าดาวเทียม NOAA เช่น ดาวเทียม LANDSAT และดาวเทียม SPOT มาใช้ในการตรวจหาไฟ ทำให้สามารถตรวจพบไฟตั้งแต่ไฟนั้นยังมีขนาดเล็กอยู่ อย่างไรก็ตามดาวเทียมดังกล่าวจะมีข้อจำกัดในเรื่องรอบระยะเวลาของการโคจรรอบโลกที่ต้องใช้เวลานานหลายวัน หมายความว่าการจะกลับมาตรวจหาไฟ ณ ตำแหน่งเดิมในแต่ละครั้งจะต้องใช้เวลาหลายวัน4. ข้อดีในการตรวจหาไฟด้วยดาวเทียม
4.1 สามารถตรวจหาไฟในพื้นที่อันกว้างใหญ่ไพศาลได้ในเวลาอันรวดเร็ว4.2 หากใช้ดาวเทียมที่มีความละเอียดสูง (High resolution) ก็จะสามารถจัดระบบการเตือนภัยล่วงหน้า (Early warning system) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
4.3 หากใช้ดาวเทียม NOAA (Low resolution) จะสามารถตรวจการณ์พื้นที่ได้ถี่มาก และติดตามสถานการณ์และการพัฒนาของไฟขนาดใหญ่ได้อย่างต่อเนื่อง4.4 ภายหลังการลงทุนครั้งแรกแล้ว ในระยะยาวเมื่อเทียบต่อหน่วยพื้นที่รับผิดชอบแล้ว จะเสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่าการตรวจหาไฟโดยวิธีอื่นๆ
5. ข้อเสียในการตรวจหาไฟด้วยดาวเทียม 5.1 หากมีเมฆ การตรวจการณ์โดยวิธีนี้จะไม่ได้ผล เพราะคลื่นอินฟราเรดไม่สามารถทะลุทะลวงผ่านความชื้นได้5.2 หากใช้ดาวเทียมที่ Low resolution การตรวจการณ์จะหยาบมากและไม่ทันการณ์ ในขณะที่การใช้ดาวเทียมที่ High resolution การตรวจการณ์จะละเอียดขึ้น แต่การจะกลับมาตรวจการณ์ในจุดเดิมแต่ละครั้งต้องใช้เวลาหลายวัน
5.3 การลงทุนติดตั้งระบบ ทั้ง Hardware และSoftwareในครั้งแรกต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงมาก
5.4 จะต้องมีการพัฒนาบุคลากรขึ้นมาเพื่องานนี้โดยเฉพาะ
การตรวจหาไฟlการตรวจหาไฟทางภาคพื้นดินlการตรวจหาไฟทางกึ่งอากาศl
การตรวจหาไฟทางอากาศlการตรวจหาไฟด้วยดาวเทียมlการสื่อสารและรายงานไฟป่า