กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช  กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 









 

 

 

กระบาก



ชื่อวิทยาศาสตร์    Anisoptera  costata  korth.

ชื่อวงศ์    Dipterocarpaceae

ชื่อสามัญ   กระบาก

ชื่อทางการค้า   mersawa

ชื่อพื้นเมือง  กระถินณรงค์


     เป็นไม้ต้นขนาดใหญ่ ผลัดใบปกติ สูง 20-30 เมตร แต่อาจพบสูงถึง 40 เมตร ลำต้นเปลาตรง ปลือกหนาสีน้ำตาลเทา แตกร่อนและเป็นสะเก็ด เปลือกในเรียงซ้อนกันเป็นชั้นสลับกันระหว่างสีน้ำตาลแดง และสีเหลือง โคนต้นมักเป็นพูพอน

                       รูปทรง (เรือนยอด) เรือนยอดเป็นพุ่มทรงกระบอกถึงทรงกลม ค่อนข้างทึบ

                         ใบ   เป็นชนิดใบเดี่ยวติดเรียงสลับ ทรงใบรูปรีแกมรูปขอบขนาน และรูปไข่กลับ กว้าง 3-8 ซม. ยาง 6-16 ซม. หลังใบเกลี้ยงหรือเกือบเกลี้ยง ท้องใบมีสีน้ำตาลอมเหลือง เส้นแขนงใบมี 12-16 คู่ ขอบใบเรียบ

                         ดอก  ขนาดเล็ก  ออกรวมกันเป็นช่อตามปลายกิ่งและง่ามใบตอนปลายๆ กิ่ง  กลีบดอกมี  5  กลีบ

                                       สี  ขาวปนเหลืองอ่อน

                                       กลิ่น  -

                                       ออกดอก   ช่วงการออกดอก ระหว่างธันวาคม-กุมภาพันธ์

                         ผล  กลม เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1 ซม. ผิวเรียบ มีปีกยาว 2 ปีก

                                       ผลแก่  กุมภาพันธ์ - เมษายน


        
เป็นพรรณไม้หลักของป่าดิบแล้ง 
และป่าเบญจพรรณทั่วประเทศที่สูงจากระดับน้ำทะเล  10 - 400  เมตร

การขยายพันธุ์และการผลิตกล้า ใช้เมล็ดเพาะ

ปัจจัยสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการปลูก 

                         ดิน  ชนิดดินที่เหมาะสม คือ ดินร่วนปนทรายที่มีความอุดมสมบูรณ์และการระบายน้ำดี

                         ความชื้น   ชอบสภาพอากาศค่อนข้างชื้น-ชื้น ปริมาณน้ำฝน 1,500-2,000

                         แสง   ชอบแสง ในระยะแรกของการปลูกต้องการแสง 60-70%

การปลูกดูแลบำรุงรักษา  -

                        การคัดเลือกและเตรียมพื้นที่ปลูก -

                        วิธีการปลูกและระยะปลูกที่เหมาะสม   -

โรคและแมลง   ได้แก่  ด้วงหนวดยาวเจาะลำต้น  และหนอนกาแฟสีแดงเจาะกิ่งและยอด

อัตราการเจริญเติบโต   ปานกลาง

                        การเก็บรักษา -

                        การแปรรูป  -

                        การตลาด  ในอดีตไม้กระบากเป็นไม้ชนิดหนึ่งที่นิยมใช้ในกิจการก่อสร้าง ในรูปการทำแบบคอนกรีต พื้น รอดตง และในการทำเรือมาด แจว พาย กรรเชียง ตัวถังเกวียนและรถ สันแปรง หีบใส่ของรวมทั้งหีบศพ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นไม้ที่ตัดฟันจากป่าในประเทศ เมื่อประเทศไทยมีการปิดป่าสัมปทาน ไม้กระบากที่จะนำมาใช้ในกิจการก่อสร้างภายในประเทศเริ่มขาดแคลน แต่เนื่องจากไม้ชนิดนี้มีแหล่งการกระจายพันธุ์อยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน พม่า ลาว เขมร เวียดนามและมาเลเซีย จึงได้มีการนำเข้าไม้กระบากมาใช้ในอุตสาหกรรมการก่อสร้างในประเทศไทย สำหรับไม้กระบากแปรรูปซึ่งเป็นไม้เนื้อแข็งขนาด  1”x8”x4” เมตร ในช่วงปี 2540-2544 ราคาของท้องตลาดในส่วนกลางมีราคาไม่เปลี่ยนแปลง ขณะเดียวกันมีตัวเลขปริมาณการนำเข้าและส่งออกไม้กระบากดังได้แสดงไว้ในตารางข้างล่างตามลำดับ

ราคาวัสดุก่อสร้างประเภทไม้ในส่วนกลาง  พ.ศ. 2540 - 2544

รายการ พ.ศ.2540
 ลบ.ม
พ.ศ. 2541  ลบ.ม พ.ศ. 2542  ลบ.ม พ.ศ. 2543
 ลบ.ม
พ.ศ. 2544
 ลบ.ม
ไม้เนื้อแข็งแปรรูป ไม้กระบาก
1" x 8" x 4  เมตร
375 375 375 375 375

                        การบริโภค  -

                        การนำเข้า  

ไม้ท่อนและไม้แปรรูปนำเข้า  พ.ศ. 2544

ชนิด ไม้ท่อน ไม้แปรรูป รวม
ลบ.ม บาท ลบ.ม บาท ลบ.ม บาท

กระบาก

27,666 138,203,031 39,992 269,011,411 67,658 407,214,442

                        การส่งออก   

ปริมาณไม้กระบากที่นำออก พ.ศ. 2540 - 2544

พ.ศ. 2540  ลบ.ม พ.ศ. 2541  ลบ.ม พ.ศ. 2542  ลบ.ม พ.ศ. 2543  ลบ.ม พ.ศ. 2544  ลบ.ม
0 2 0 55 49

                      การใช้ประโยชน์ทางด้านเนื้อไม้    โดยส่วนรวมเนื้อไม้มีสีตั้งแต่สีเหลืองนวล สีน้ำตาลปนเหลืองอ่อน สีน้ำตาลปนเหลืองจนถึงสีน้ำตาลคล้ำ หรือน้ำตาลอ่อนปนแดงเรื่อๆ เสี้ยนมักตรง เนื้อหยาบ เลื่อยไสกบตบแต่งได้ไม่ยาก แต่เนื้อไม้เป็นทราย กัดคมเครื่องมือทำให้ทื่อเร็ว มีค่าความถ่วงจำเพาะ 0.6 เนื้อไม้มีความแข็งประมาณ336 กก ความแข็งแรงประมาณ 656 กก./ซม2 และความเหนียวประมาณ 3.57 กก.-3 นิยมใช้ประโยชน์ในการทำแบบหล่อคอนกรีต พื้น รอด ตง เรือมาด แจว พาย กรรเชียง ตัวถังเกวียนและรถ สันแปรง หีบใส่ของและหีบศพ ชันใช้ผสมน้ำมันทาไม้ น้ำมันชักเงา ยาแนวไม้และเรือ

                      การใช้ประโยชน์ทางด้านนิเวศน์    ปลูกเป็นแนวกันลม ควบคุมความชื้น รักษาระบบนิเวศของป่าดินและน้ำ

                        การใช้ประโยชน์ทางด้านภูมิสถาปัตย์     ใช้ปลูกเป็นกลุ่ม เพื่อให้ร่มเงาและให้ความสวยงามเพิ่มแก่พื้นที่ โดยเฉพาะการปลูกเป็นกลุ่มๆ ตามบริเวณริมฝั่งแม่น้ำที่น้ำท่วมไม่ถึง

                        การใช้ประโยชน์ทางด้านโภชนาการ    -

                        การใช้ประโยชน์ทางด้านสมุนไพร   -